TEST DRIVE XFORCE HEV ขับดี ช่วงล่างแน่น

TEST DRIVE XFORCE HEV ขับดี ช่วงล่างแน่น หลังจากการเปิดตัวไม่ได้ไม่นาน เราได้มีโอกาศได้ทดลองขับ แบบสั้นๆในสนามปิดที่ปทุมธานี สปีดเวย์ โดยมีการเซ็ทสเตชั่นเอาไว้หลายสเตชั่น ทั้งสลาลอม เลนเชนจ์ รวมไปถึงการลุยทางฝุ่น และพื้นถนนเปียกลื่น เรียกได้ว่าจัดเต็มพอสมควรเลยทีเดียว รุ่นที่เราได้ทดลองขับในครั้งนี้เป็นรุ่นท็อปสุดของ MITSUBISHI XFORCE HEV แล้วนั้นคือรุ่น ULTIMATE X
ก่อนจะไปลองขับเรามาทำความรู้จักกับ New Mitsubishi XForce HEV คันนี้กันก่อนดีกว่าครับ โดยเริ่มจากภาพรวมของตัวรถภายนอก ภายใน ระบบขับเคลื่อน และราคา
ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
XFORCE HEV IGNITE | 899,000 บาท |
X FORCE HEV ULTIMATE | 1,039,000 บาท |
X FORCE HEV ULTIMATE | 1,089,000 บาท |
การออกแบบภายนอก
Mitsubishi XFORCE HEV ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “Silky & Solid” เน้นรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว ไฟหน้า LED ดีไซน์เท่พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED และไฟท้าย LED สี Smoke รูปตัวที ด้านข้างโดดเด่นด้วยเส้นสาย พร้อมหลังคาแบบลอยตัว ให้ความรู้สึกโปร่ง เสริมด้วยซุ้มล้อสีดำสไตล์รถเอสยูวี ติดตั้งล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
ภายในห้องโดยสาร
ตกแต่งด้วยสีทูโทน Mélange – Mocha พร้อมวัสดุผ้ากันน้ำและคราบสกปรก รองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง เบาะนั่งตอนหลังปรับเอนได้ 8 ระดับ และปรับพับแบบ 40:20:40 พร้อมวัสดุหุ้มเบาะ Heat Guard ช่วยสะท้อนความร้อนจากแดงแดด หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว Smartphone-link Display Audio (SDA) และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ LCD ขนาด 8 นิ้ว จอภาพถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน แบบ Multi-widget สามารถแสดงข้อมูลพร้อมกันบนหน้าจอเดียว ทั้งยังสามารถแสดงระดับความสูง, มุมเอียง และทิศทาง รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สายได้
เรื่องระบบเสียงนับว่าจุดเด่นเลยทีเดียวเพราะใช้ Dynamic Sound Yamaha Premium Sound System พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง ให้คุณภาพเสียงเช่นเดียวกับการฟังเครื่องดนตรีแบบแยกชิ้น สามารถรูปแบบเสียงได้ 4 รูปแบบ พร้อมด้วยระบบฟอกอากาศ nanoe X ที่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย สร้างอากาศสดชื่น และไฟตกแต่ง Ambient Light บริเวณคอนโซลหน้าและแผงประตูหน้า
ระบบขับเคลื่อน
Mitsubishi XFORCE HEV ติดตั้งระบบขับเคลื่อน e:MOTION แบบ Full-hybrid ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ MIVEC ความจุ 1.6 ลิตร กำลังสูงสุด 107 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 134 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 225 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ 2-Speed Transaxle อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 24.4 กม./ลิตร
โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ประกอบด้วย โหมดขับขี่แบบไฟฟ้า 2 รูปแบบ คือ EV Priority Mode และ Charge Mode พร้อมโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบตามสภาพถนน ได้แก่ Normal Mode, Tarmac Mode, Gravel Mode, Mud Mode และ Wet Mode
การทำการของระบบไฮบริด XFORCE HEV
เอาละเรามาดูการทำงานของระบบฟูลไฮบริดใหม่ของเจ้าคันนี้กันโดย เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร มีหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถที่ย่านความเร็วปานกลาง และอีกหนึ่งหน้าที่ของเครื่องยนต์ลูกนี้มันจะส่งกำลังไปสู่ล้อควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ในขณะที่เราเร่งแซง และขึ้นทางชัน ผ่านเฟืองเกียร์สูงทำให้เราไม่ต้องเค้นมากนัก และในย่านการขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่ เช่นในขณะที่เราเดินทางไกลออกต่างจังหวัด มอเตอร์ไฟฟ้าจะพักการทำงานชั่วคราวด้วยชุดควบคุมที่เรียกว่า Motor Disconnect ดังนั้นหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนรถจะเป็นของเครื่องยนต์ และเฟืองเกียร์ต่ำ โดยที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะกลับมาทำงานสั้นๆ อีกครั้งในรูปแบบ EV Drive จะขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่ รวมถึงความเร็วที่ใช้ ส่งผลให้ระบบไฮบริดใน มิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเอ็กซ์แพนเดอร์ หากวิ่งทางไกลนั้นเอง มิตซูบิชิเคลมอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยไว้ 24.4 กม./ลิตร ซึ่งดีกว่า เอ็กซ์แพนเดอร์ ไฮบริด ที่ทำได้ 19 กม./ลิตร แต่สุดท้ายก็ต้องลองวิ่งบนถนนจริงแบบยาวๆอีกครั้งว่าจะประหยัดได้เท่าที่เครมไว้หรือไม่
การทดลองขับ TEST DRIVE XFORCE HEV
อย่างที่บอกครับการทดลองขับในครั้งนี้เป็นการลองขับในสนามปิด ซึ่งก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงอัตราเร่งช่วงต้น การทรงตัวของตัวรถ แฮนเดอร์ริ่งของพวงมาลัย เรามาเริ่มจากสเตชั่นแรกกันก่อนเลย สเตชั่นสลาลอม และเลนเชนจ์ เพื่อลอง Handling และความแม่นยำของพวงมาลัยกันครับ วิ่งด้วยความเร็มประมาณ 60 กม./ชม. เข้าไปที่สลาลอม การควบคุมรถทำได้ง่าย นิ่ง พวงมาลัยน้ำหนักกำลังดี ควบคุมง่าย และแม่นยำครับ
มาต่อกันที่สเตชั่น 0-100 มาดูอัตราเร่งช่วงออกตัวกันครับว่าทำได้ดีแค่ไหน กดคันเร่งลงไปรถออกอัตราเร่งไม่ได้หวือหวาจี๊ดจ๊าดอะไรนัก แต่อยู่ในเกณฑ์ดี ทันใจ ไม่อืด อัตราเร่งทำได้ดีกว่า Xpander ความเร็วเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องและสมูท แต่น่าเสียดายทางหมดเลยต้องยกซะก่อน 0-100 กม./ชม. ทำได้ประมาณ 10 วินาที
วิ่งตรงข้ามฝั่งไปอีกด้านของสนามสเตชั่นต่อมาจะเป็นการเข้าโค้ง กว้าง และแคบ สลับซ้ายขวา มาดูกันว่าระบบช่วงล่างด้านหน้า McPherson Strut ช่วงล่างด้านหลัง Torsion Beam ของเจ้าคันนี้มันจะดีแค่ไหน เดินคันเร่งต่อเนื่องพุ่งเข้าไปที่โค้งขวา-ซ้าย สลับกัน ด้วยความเร็ว ตัวรถยังคงนิ่ง แน่น หนึบ ดีครับ ส่วนหนึ่งที่ทำให้เจ้าคันนี้ควบคุมง่ายเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วเพราะระบบ Active Yaw Control นั้นเอง แต่มันก็มีอาการย้วยเล็กน้อยจะสัมผัสได้ถ้าเป็นผู้โดยสารตอนหลัง ผมว่าเป็นธรรมดาของรถประเภทนี้ ที่ออกแบบมาเน้นความนุ่มนวลนั่งสบายเป็นหลัก หลุดออกมาเจอโค้งกว้างยาวๆ บอกเลยว่าขับผ่านไปได้แบบเนียนๆเลยครับ ปรับเซ็ทช่วงล่างมาได้ดีครับ ไม่นิ่มย้วย หรือแข็งกระด้าง จนเกินไป
หมดโค้งจอดรถปรับโหมดเป็น Gravel Mode โหมดที่ปรับการขับขี่ในรูปแบบของการลุยในทางลูกรัง พร้อมแล้วไปลุยกัน สัมผัสได้ชัดเจนครับว่า เมื่อเราอยู่ในโหมดนี้เราสามารถขับขี่บนทางฝุ่น หรือทางลูกรัง ด้วยความเร็วได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เข้าโค้งเร็วๆตัวรถยังนิ่ง มีสไลด์เล็กๆพอให้ได้ฟิลลิ่งการขับทางฝั่น ควบคุมง่าย และระบบช่วงล่างสามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีครับ
สุดท้ายกับ Wet Mode โหมดนี้เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนที่เปียกลื่น มิตซูบิชิจัดรถน้ำมาพ่นน้ำใส่แทรกจนชุ่ม และให้เราขับวนเป็นวงกลม ต้องบอกเลยว่าระบบช่วยป้องกันการลื่นไถลได้ดี และให้การควบคุมที่มั่นใจ เกาะถนนเป็นเลิศ บอกเลยว่าเจอฝนตกหนักแค่ไหนก็เอาอยู่ครับ
ระบบความปลอดภัย Mitsubishi Diamond Sense ติดตั้งใน Mitsubishi XFORCE HEV ประกอบด้วย
- ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB
- ระบบล็อกความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงและช่วยชะลอความเร็ว FCM
- สัญญาณเตือนจุดอับสายตา BSW
- สัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน LCA
- ระบบเตือนด้านหลังขณะถอย RCTA
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ LCDN
- กล้องมองภาพรอบคัน MAM (ยกเว้นรุ่น Ignite)
- ระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวและแจ้งเตือนจากกล้องรอบคัน MOD (ยกเว้นรุ่น Ignite)
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th