ทดสอบจริง!! MG ZS EV ชาร์จ 1 ครั้ง วิ่งไกลได้แค่ไหน
รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง หลายค่ายได้นำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยหลากหลายรุ่นหลายยี่ห้อมากขึ้น ที่โดดเด่นขึ้นมาก็เห็นจะเป็นเจ้า MG ZS EV ที่รูปทรงภายนอกเป็นรถยนต์ SUV และเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาถูกที่สุดในประเทศไทยเพราะเปิดราคาที่ 1,190,000 บาท ทำเอาค่ายอื่นหงายตำรารับมือกันยกใหญ่ และวันนี้ทาง Grandprix online ได้นำรถยนต์ไฟฟ้า 100% เจ้า MG ZS EV คันนี้มาทำภาระกิจที่พวกเรา และอีกหลายท่านอยากรู้ว่าถ้าชาร์จไฟเต็มแล้วมันจะวิ่งได้กี่กิโลเมตร
เมื่อเราได้โจยท์ที่ถ้าทายมีหรือจะรอช้าจัดไปครับ เราโชคดีครับที่เจ้านายเราซื้อเจ้า MG ZS EV มาพอดีและเพิ่งได้รับการส่งมอบรถ จะรออะไรละครับทำเรื่องส่งจดหมายขอยืมไปทดสอบกันเลย โดยครั้งแรกตั้งใจว่าจะวิ่งไปที่หัวหิน โดยทาง บริษัทเอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) เค้าเครมไว้ว่าเจ้า MG ZS EV คันนี้ ชาร์จไฟฟ้าเต็ม100%จะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 337 กิโลเมตรเลยทีเดียว เราชาร์จไฟเข้าจนเต็ม 100% ลองสตาร์ทดูได้ระยะทางที่วิ่งได้ 334 กิโลเมตร ดูจากระยะทางที่ปรากฏบนหน้าจอแล้วไปหัวหินถึงแน่นอนแต่ผมเบื่อการจราจรที่ติดแบบนรกแตกบนถนนพระราม2 เลยเปลี่ยนแผนวิ่งไปพัทยาแทนมันถึงแบบเหลือๆแน่นอน[expander_maker id=”4″ more=”อ่านเพิ่มเติม” less=”Read less”]
แต่มันจะง่ายเกินไป และไม่ท้าทาย เราจึงตกลงกันว่าขับจนไปถึงพัทยาเอาให้ถึงหายชาดแล้วหันหัวกลับเข้ากรุงเทพเลยโดยไม่มีการจอดชาร์จไฟเลย ระยะทางประมาณ 319 กิโลเมตร ซึ่งคำนวณจากตัวเลขแล้วไป-กลับได้ รออะไรไปลองกันเลย
NEW MG ZS EV โดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ SUV ภายนอกโดดเด่นด้วยสีตัวถังแบบพิเศษ “สีฟ้า Copenhagen Blue” กระจังหน้าทันสมัยพร้อมการติดตั้งจุดชาร์จไว้บริเวณหลังกระจังหน้า ลงตัวด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารตกแต่งโทนสีดำ พร้อมการตกแต่งคอนโซลหน้าด้วยวัสดุนุ่มแบบ Soft touch ให้ความรู้สึกหรูหรามีระดับมากขึ้น พวงมาลัยทรงสปอร์ตหุ้มหนังแบบมัลติฟังก์ชั่น สามารถควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานในรถที่เชื่อมกับหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้วได้เพียงปลายนิ้ว และระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลที่มาพร้อมระบบกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 อีกทั้งยังมีห้องโดยสารที่กว้างสบายและยังคงโดดเด่นด้วยหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof)
NEW MG ZS EV เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ได้รับการพัฒนาให้ส่งกำลังได้ดี และช่วยระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ แบบลิเธี่ยม ไอออน (Lithium-ion) ความจุ 44.5 kWh สามารถวิ่งผ่านน้ำที่มีความสูงได้ถึงกว่า 40 เซนติเมตร มีระบบการปกป้องแบตเตอรี่แบบ 360 องศา และระบบการจัดการอุณหภูมิอัจฉริยะที่ช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำและสูง และระบบควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีพละกำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ด้วยระยะเวลาแค่ 3.1 วินาที
เริ่มออกสตาร์ทจากย่านลาดปลาเค้าโดยใช้โหมดการขับขี่แบบ ECO เพราะเจ้า MG ZS EV คันนี้มีโหมดการขับ 3 โหมดให้เลือกคือ Eco เพื่อการประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น แบบ Normal สำหรับการขับขี่ทั่วไปและ แบบ Sport เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจ และเปิดระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับ ผมเปิดระดับ 3 เลยครับ เรียกได้ว่าทำทุกทางให้ประหยัดที่สุด เพราะต้องบอกก่อนเลยว่าโดยปกติแล้วผมเป็นคนเท้าหนัก ขับรถเร็ว และไม่เคยขับรถได้ประหยัดน้ำมันเลย มาครั้งนี้ผมใช้ความเร็วในการเดินทางอยู่ที่ประมาณ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พยายามเกรงเท้าให้นิ่งๆให้ใช้แบตน้อยที่สุด ช่วงแรกเจอรถติดในเมืองเล็กน้อย ก่อนหลุดออกมาจากการจราจรที่ติดขัดเข้าสู่ถนนมอเตอร์เวย์ ตรงยาวๆครับผม เกิดนึกอยากรู้ขึ้นมาว่าถ้าเราลองขับโหมดอื่นดูจะฟิลลิ่งต่างกันเยอะหรือไม่ เลยลองปรับจากโหมด ECO มาเป็น Normal จากที่เคยเหยียบคันเร่งแล้วมันหน่วงๆหนืดๆ ก็วิ่งดีขึ้นลื่นไหลขึ้น ขับได้ระยะหนึ่งเลยเปลี่ยนมาเป็นโหมดSportเพราะอยากรู้ว่ามันจะแรงและขับสนุกขนาดไหน โอ้โห !! แรงจริงกดคันเร่งดึงหลังติดเบาะเลย กดเป็นมาๆ ขับสนุกมาก แต่!! แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกันระยะทางที่จะวิ่งได้ก็หายไปหลายกิโลเมตร ผมว่าเราควรหยุดสนุกดีกว่าเพราะเดี๋ยวจะไม่ถึงพัทยาเอา เปลี่ยนกลับมาเป็นโหมด ECO เหมือนเดิมจนถึงพัทยามุ่งหน้าสู่ชายหาดพัทยาเหนือ ขับวนเล่นเล็กน้อยหาโลเคชั่นถ่ายรูป หาข้าวกลางวันกินจนอิ่ม ระยะเหลือที่วิ่งได้อีก 130 กิโลเมตร มีลุ้นครับงานนี้
ขากลับวิ่งออกจากพัทยาเหนือมุ่งหน้าสู่มอเตอร์เวย์อีกครั้งโดยขับแบบเดิมเงื่อนไขเดิม ขับมาได้ประมาณ 50กิโลเมตร หน้าจอแสดงระยะทางที่วิ่งได้อีก 80 กิโลเมตร และมีการแจ้งเตือนให้รีบหาที่ชาร์จ พร้อมแสดงจุดชาร์จที่อยู่ใกล้บนหน้าจอ งงเลยระยะทางหายไปไหนนี่ขนาดไม่ได้ขับเร็วเลยนะครับ นั่งคิดจะหาที่ชาร์จไฟเลยดีกว่ามั้ย หรือจะไปต่อเอาให้สุด ขับมาอีกพักใหญ่ เลยด่านทางลงบายพาสชลบุรีมา เอาวะ !!ยังไงเอาให้ถึงสุวรรณภูมิพอแล้วค่อยไปหาที่ชาร์จเอาข้างหน้า ระยะที่ขับได้ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเหลือวิ่งได้อีกแต่ 40 ลุ้นกันเหงื่อออกมือเลยทีดียว ดูแล้วไม่มีทางถึงกรุงเทพได้แน่ และถ้าไฟหมดมันดับบนมอเตอร์เวย์นี่เรื่องใหญ่ และลำบากแน่ เลยตัดสินใจออกจากมอเตอร์เวย์ กดค้นหาจุดชาร์จไฟที่ใกล้ที่สุดก็เจอ โชว์รูมเอ็มจี สาขาบายพาสชลบุรี ซึ่งมันต้องวิ่งย้อนไปอีก 20 กิโลเมตร เพราะคาดว่าที่โชว์รูมจะมีตู้แบบ quick charge ที่ชาร์จเพียง 30 นาทีได้ไฟมา80% กลับถึงกรุงเทพสบาย เพราะถ้าไปชาร์จตามจุดชาร์จ EA ที่มีอยู่กระจายตามจุดต่างๆผมเคยลองแล้วเค้ามีตู้ quick charge นะแต่ไม่เปิดและตู้ธรรมดาก็ปล่อยไฟมาไม่เต็มทำให้ใช้เวลาชาร์จนานได้ไฟเข้าแบตน้อย ถึงโชว์รูมสอบถามว่าจะขอชาร์จไฟรถยนต์หน่อยครับ ปรากฏว่าต้องใช้ CARD ที่เข้าให้มาตอนซื้อรถด้วยจร้าเพราะมันมีรหัสอยู่ กำเจ้านายไม่ได้ให้มา เลยคุยกับโชว์รูมว่าผมไม่มีบัตรและรถก็ไม่มีไฟแล้วเหลือวิ่งได้อีก 30 กิโลเมตรเท่านั้น เอาง่ายๆเหลือแบตอีก 9 % เจ้าหน้าที่ถึงกับร้องโห! ยังไม่มีใครกล้าวิ่งให้ไฟเหลือน้อยเท่านี้เลย พี่คนแรกเลยครับ ผู้จัดการโชว์รูมออกมาดูพร้อมยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่เอา CARD ของโชว์รูมให้เราได้ชาร์จไฟ แต่เป็นแบบธรรมดานะครับ เพราะตู้ quick charge ยังติดตั้งไม่เสร็จ พี่ผู้จัดการบอกชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมงน่าจะได้ซัก 120 กิโลเมตร นั่งรอไปครับผม 3 ชั่วโมง เล่นซะฟ้าใกล้มืดเลย
หลังจากชาร์จเรียบร้อยได้แบตมา 50 % วิ่งได้ 160 กิโลเมตร วิ่งแบบเดิมครับ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตและระยะลดลงเร็วมากจึงนั่งคำนวณใหม่ เพราะถ้าวิ่งความเร็วแบบนี้ไม่ถึงกรุงเทพแน่ สรุปต้องใช้ความเร็วในการเดินทางที่ประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถึงจะวิ่งได้ตามระยะทางที่โชว์ ถ้าวิ่งเร็วกว่าระยะทางจะลดลงเร็วกว่า เข้าถึงกรุงเทพเริ่มอุ่นใจสรุปที่วิ่งมาตัวรถทรงสวย คันใหญ่ อัตราเร่งดีถึงดีมาก ระบบทุกอย่างให้มาเต็มที่แบบครบๆ แต่ช่วงล่างนี่ผมไม่ให้ผ่านนะครับ เพราะมันรู้สึกว่าย้วย โครง และนิ่มไปครับผม ท่านไหนชอบช่วงล่างแบบนิ่มๆอาจจะชอบก็ได้แต่สำหรับผมไม่โดนครับ
ระบบเพื่อความปลอดภัยที่มีให้ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Advanced Synchronized Protection System ทั้งโครงสร้างตัวถังนิรภัย (FSF) ระบบความปลอดภัย Synchronized Protection System ทั้งหมด 9 ระบบ และระบบเสริมความปลอดภัยในขณะขับขี่ Advanced Driver-Assistance Systems ได้แก่
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ระบบเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
MG ZS EV ยังมีการติดตั้งไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) พร้อมระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ตลอดจนถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยรวม 6 จุด รวมถึงกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์
บทสรุปเลยครับ MG ZS EV มีอัตราเร่งที่ดีขับสนุก รูปลักษณ์ภายนอกสวยงามใหญ่โต ภายในใช้วัสดุคุณภาพดี การประกอบดี ดีไซน์สวย ระบบช่วงล่างนิ่ม ย้วย เกินไปถ้าปรับให้เฟริ์มกว่านี้จะดีมาก การชาร์จไฟหนึ่งครั้งจะได้ 319 กิโลเมตร แต่ถ้าวิ่งด้วยความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะวิ่งได้ไม่ถึง 319 กิโลเมตร เพราะถ้าเราขับด้วยความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวรถจะต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนสูง ยิ่งถ้าคุณขับด้วยโหมดสปอร์ตด้วยยิ่งหมดเร็วมากเข้าไปใหญ่ สำหรับการทดลองในครั้งนี้เจ้า MG ZS EV ไม่สามารถวิ่งไป-กลับ กรุงเทพ-พัทยา ได้โดยการชาร์จไฟ 1 ครั้ง คุณต้องไปชาร์จเมื่อเดินทางถึงพัทยาแล้วค่อยกลับ
ผมมองว่า MG ZS EV เหมาะมากที่จะวิ่งในเมืองเช้าไปทำงานเย็นกลับบ้านหรือแวะเที่ยวแบตเหลือเฟือ แต่ถ้าเดินทางไกลก็ไปได้ครับแต่คุณต้องวางแผนดีๆดูจุดชาร์จให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง และควรไปนอนค้างคืนไม่ควรไป-กลับ เพราะคุณจะต้องเสียเวลาชาร์จก่อนกลับ ถ้าถามว่าซื้อหรือไม่มันต้องขึ้นอยู่ว่าคุณใช้งานแบบไหนเหมาะกับไลฟสไตล์คุณหรือไม่ แต่ถ้ามองที่ความคุ้มค่ากับราคา 1,190,000 บาท กับรถยนต์ไฟฟ้า 100% และวัสดุอุปกรณ์ ระบบเพื่อความปลอดภัย ออฟชั่นต่างๆที่ให้มา ผมว่ามันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่คุ้มค่าที่สุดในตลาดบ้านเราแล้วละครับ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th[/expander_maker]