‘การต่อสู้เพื่อกลับมาหรือความตกต่ำที่ไม่สิ้นสุด?’– สถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทยในปี 2025
อุตสาหกรรม ยานยนต์ ประเทศไทย 2025
ในปี 2025 อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ แม้ว่าจะยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในภูมิภาคอาเซียน แต่จุดแข็งที่เคยมีในอดีตของประเทศไทยต้องเผชิญแรงกดดันอย่างมหาศาลจากเทรนด์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความท้าทายที่เกิดจากปัจจัยภายในประเทศ – โดย GlobalData บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำของประเทศอังกฤษ นำเสนอรายงานสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมการอัพเดตตัวเลขล่าสุดของยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยประจำปี 2567 อย่างเป็นทางการ
ครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยได้รับการขนานนามให้เป็น “The Detroit of Asia” – เมืองหลวงแห่งการผลิตรถยนต์แห่งเอเชียจากการที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น, สหรัฐฯ และยุโรป เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิต จนทำให้มียอดการผลิตสูงสุดเป็นสถิติกว่า 2 ล้านคัน ในช่วงปี 2012-2013 แต่การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยียานยนต์ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2010 ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทยที่เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ และผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก ต้องสูญเสียศักยภาพในการแข่งขัน หลังจากหลายประเทศที่เคยเป็นตลาดหลักในการส่งออกรถยนต์ของไทยกำลังเปลี่ยนมาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle: BEV) เพิ่มมากขึ้น
รายงานของ GlobalData ให้ความเห็นว่าถึงประเทศไทยจะยังสามารถดึงดูดผู้ลงทุนรายใหม่จากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศจีนอย่าง BYD หรือ Great Wall Motor ด้วยการออกมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลไทย แต่การเติบโตที่เร็วกว่าปกติของรถยนต์ไฟฟ้าไม่อาจทดแทนยอดการผลิตรวมของรถยนต์ในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ตามข้อมูลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ตัวเลขการผลิตรถยนต์ของประเทศไทยระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2024 มียอดรวมทั้งสิ้น 1,468,997 คัน ลดลง 19.95 เปอร์เซ็นต์ หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่คือ:
• ยอดการผลิตรถยนต์นั่ง (Light Vehicle): 558,440 คัน (38.02% ของยอดการผลิตทั้งหมด/ลดลง 13.53% หากเทียบกับปี 2023)
• ยอดการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน และรถกระบะดัดแปลง (One-ton Pickup/PPV): 893,700 คัน (60.84% ของยอดการผลิตทั้งหมด/ลดลง 22.39% หากเทียบกับปี 2023)
(รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน-มากกว่า 10 ตัน จำนวนการผลิต: 10 คัน (-91.53%), รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน จำนวนการผลิต: 16,847 คัน (-55.04%))
สถิติยอดขายรถยนต์ของประเทศไทยในปี 2567 (Overall Thailand Vehicle Sale 2024)
เช่นเดียวกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยตามข้อมูลของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ยอดจำหน่ายรถยนต์ปี 2024 รวมทั้งหมดอยู่ที่ 572,675 คัน ลดลง 26.2 เปอร์เซ็นต์ หากเทียบกับปี 2023 และผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่แดนซามูไรประเมินว่าในปี 2025 ตลาดประเทศไทยจะมียอดขายระดับ 600,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ข้อมูลที่ประกาศออกมาทำให้เห็นว่าสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทยต้องรับมือกับทั้งยอดขายในประเทศที่ตกต่ำ และตัวเลขส่งออกที่หล่นวูบ ส่งผลให้ยอดการผลิตรวมต่ำกว่า 1.5 ล้านคันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ช่วงการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ที่ต้องระงับการผลิตรถยนต์ชั่วคราว
แต่ถึงอย่างนั้นนักวิเคราะห์ของ GlobalData ยังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากพอที่จะรักษาสถานะของการเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับต้นๆ ของภูมิภาคอาเซียน แม้ว่าตัวเลขการผลิตโดยรวมจะลดลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม
1 ในข้อมูลสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามคือช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการส่งออกรถยนต์มีสัดส่วนราว 60 เปอร์เซ็นต์ของยอดการผลิตรถยนต์รวมในประเทศไทย โดยปี 2024 ยอดการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกอยู่ที่ 1,009,141 คัน (ครองสัดส่วน 68.70% ของยอดการผลิตรวม ลดลง 12.07% หากเทียบกับปี 2023) แต่ปัจจุบันการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กจากประเทศไทยเผชิญแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในบางประเทศที่เป็นตลาดหลักในการส่งออก, สภาวะสงครามในบางภูมิภาค และการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่ขยายฐานการผลิตสู่ทั่วโลก โดยต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นในอาเซียนเช่นเดิม
ความท้าทายนี้แสดงให้เห็นชัดเจนผ่านประสิทธิภาพการส่งออกของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่ยังครองสัดส่วนการผลิตหลักของประเทศไทย โดยนับเฉพาะเดือนมกราคม-กันยายน 2024 Toyota มียอดการส่งออกลดลงเกือบ 13 เปอร์เซ็นต์ (ประมาณ 37,000 คัน) เช่นเดียวกับ Mitsubishi Motors ลดลง 16.3 เปอร์เซ็นต์ (31,000 คัน) ขณะที่ Nissan ติดลบ 19.8 เปอร์เซ็นต์ (12,000 คัน) และ Isuzu ลดลง 7.8 เปอร์เซ็นต์ (7,000 คัน) ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักมาตลอด
ในส่วนของตลาดรถยนต์ในประเทศไทยรับมือความท้าทายรอบด้านที่ไม่แตกต่างกัน จนทำให้ตัวเลขยอดขายรวมต่ำกว่า 600,000 คันเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี โดยรายงานของ GlobalData แสดงให้เห็นปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทยเผชิญวิกฤตในเวลานี้เป็น 5 หัวข้อใหญ่คือ
1) ต้นทุนทางการเงินที่สูง และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด: การที่สถาบันการเงินกำหนดเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น กลายเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ที่ต้องการซื้อรถยนต์ใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อรถกระบะที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอิสระหรือธุรกิจรายย่อย ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นสูงถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินเหมือนในอดีต ทั้งที่รถกระบะครองส่วนแบ่งยอดขายของตลาดประเทศไทยมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ตลอดหลายปีก่อนหน้า
2) ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น: หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) แต่พุ่งขึ้นมาเป็น 90 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 นับเป็นสถิติสูงสุดของประเทศในภูมิภาคอาเซียน ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้จำกัดความสามารถของผู้บริโภคในการกู้ยืมเงิน จนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการซื้อรถยนต์ในประเทศ
3) ความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลไทย: การต้องรอจนกระทั่งเดือนเมษายน 2024 กว่าที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 (2024) จะถูกประกาศใช้ ทั้งที่ควรจะเสร็จเรียบร้อยในเดือนตุลาคม 2023 ตามกระบวนการปกติ ส่งผลให้หลายโครงการใหญ่ของภาครัฐต้องหยุดชะงัก กลายเป็นผลกระทบสู่เศรษฐกิจทุกระดับ และทำให้ยอดขายกลุ่มรถยนต์นั่งในประเทศลดลงตามไปด้วย
4) ความท้าทายในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า: ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกคาดการณ์ว่ามีศักยภาพที่จะเติบโตต้องเผชิญสภาวะชะลอตัวเช่นกัน การสิ้นสุดมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้ารอบแรกหรือ EV 3.0 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2024 ส่งผลกระทบกับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเปิดโอกาสให้เข้าร่วมการสนับสนุนรอบ 2 ในชื่อ EV 3.5 ที่มีผลบังคับใช้ช่วงต้นปี 2024 โดยมีการอุดหนุนเงินให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเหมือนเดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดสำคัญอย่างจำนวนการผลิตชดเชยของรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายทำให้ความน่าสนใจลดลง
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือการสร้างสงครามราคาหรือ ‘Price Wars’ ของบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแดนมังกรด้วยกัน จนทำให้ลูกค้าชาวไทยชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และสถาบันการเงินต้องทบทวนการสนับสนุนด้านสินเชื่อที่จะปล่อยให้แบรนด์รถยนต์จีนจากมูลค่าของรถยนต์ใหม่ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ทำให้มีการกำหนดเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การกำหนดจำนวนเงินดาวน์ที่สูงขึ้นหรือปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อสำหรับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่แทบไม่ถูกนำเสนอสู่สาธารณชนคือรถยนต์ไฟฟ้า BEV เหล่านี้มีส่วนแบ่งเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ของยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งขนาดเล็กในประเทศไทยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024
5) ภัยธรรมชาติ: เหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทยในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อยอดขายรถยนต์ โดยผู้บริโภคส่วนหนึ่งอาจเลื่อนการตัดสินใจซื้อรถยนต์จากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 เป็นปี 2025 เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในเรื่องอื่นที่จำเป็นมากกว่า ส่งผลให้สถานการณ์ตลาดรถยนต์ของประเทศไทยย่ำแย่ลงจากเดิมเข้าไปอีก
ผลกระทบจากปัจจัยลบรอบด้านที่ถาโถมเข้ามาทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยกำลังเผชิญ 1 ใน ช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด หลังจากยอดขายรวมรถยนต์นั่งปี 2024 ลดลง 26.2 เปอร์เซ็นต์หากเทียบกับปี 2023 ต่ำที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ และนับเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกเมื่อปี 2009
แม้ว่าจะต้องเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายตลอด 2 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยยังคงมองเห็นแสงแห่งความหวังของสัญญาณการฟื้นตัวในปี 2025 ถึงจะไร้ความแน่นอน แต่การลดอัตราดอกเบี้ย, กำลังซื้อที่ถูกเลื่อนจากปีที่แล้ว และการเปิดตัวของรถยนต์รุ่นใหม่จะช่วยกอบกู้ตัวเลขยอดขายกลับคืนมา โดยเฉพาะการมาถึงของ Toyota Hilux เจเนอเรชั่นใหม่ที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นความต้องการในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก
หากมองจากการที่รถกระบะ Hilux Revo โมเดลปัจจุบันยังครองส่วนแบ่งราว 13 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรถยนต์รวมในประเทศ แสดงให้เห็นความสำคัญที่มีต่อตลาด โดย GlobalData คาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กของประเทศไทยจะเติบโตขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ในปี 2025 หรือทำยอดขายกลับมาที่ราว 637,000 คัน ในขณะที่โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ประเมินไว้ที่ 600,000 คัน เรียกว่าเป็นการประคองตัวอีก 1 ปี หากเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยอดขายยังสูงถึง 1 ล้านคัน ในปี 2018 และในช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดที่ยังมียอดขาย 783,000 คัน ในปี 2020
อย่างไรก็ตามการกลับมาเติบโตในระยะยาวของตลาดรถยนต์ประเทศไทยขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของภาครัฐอีกด้วย ทั้งการออกมาตรการเพื่อควบคุมอัตราหนี้ครัวเรือน, การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และความล่าช้าของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความท้าทายเหล่านี้ยังคงเป็นเหมือนเงามืดที่ปกคลุมตลาดรถยนต์ของประเทศไทยต่อไป แม้ว่าจะยังคงรักษาตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์อันดัน 1 ของภูมิภาคอาเซียนเอาไว้ได้ต่อไปก็ตาม
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: Just Auto/GlobalData
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
อุตสาหกรรม ยานยนต์ ประเทศไทย 2025