Toyata รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2023
Best Sedan Under 1,300 c.c.
TOYOTA YARIS ATIV
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การมาถึงของ TOYOTA YARIS ATIV คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเฉียบขาดด้านวิสัยทัศน์ของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการนำเสนอความ “คุ้มค่า” อย่างเป็นรูปธรรม อันเป็นผลสำเร็จจากการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริงในทุกๆ ด้าน
เริ่มจากรูปลักษณ์ที่มากับตัวถังสไตล์ Fastback พร้อมค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศต่ำ เพียง 0.284 และออปชันที่เพียบพร้อม เช่น ไฟหน้าแบบ Full LED, ไฟท้ายแบบ Full LED Light-guiding และไฟเลี้ยวแบบ Sequential ใหม่ ไปจนถึงล้ออัลลอยแบบ Two Tone ขนาด 16 นิ้ว
ส่วนดีไซน์ภายใน เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ และยกระดับคุณภาพของรถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่างแท้จริง จากการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ บนงานดีไซน์เรียบหรู ทั้งยังล้ำสมัยกว่าใคร ด้วยการติดตั้งเบรกมือไฟฟ้า EPB และไฟ Ambient light สร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร ซึ่งสามารถปรับได้ถึง 64 เฉดสี รวมถึงชุดมาตรวัดแบบ Full Digital และออปชันมาตรฐานอีกมากมาย ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบคัน ทั้งยังมีภายในโทนสีแดงให้เลือกอีกด้วย
สมรรถนะ เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจ ด้วยเครื่องยนต์ Dual VVT-iE ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 94 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Sequential Shift และโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ถึง 3 รูปแบบ คือ Eco, Normal และ Sport ทั้งยังสร้างอัตราการประหยัดสูงสุดได้มากถึง 23.3 กม./ลิตร เลยทีเดียว
เหนืออื่นใด คือระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ที่นอกจากครบถ้วนด้วย Active Safety และ Passive Safety แล้ว ยังได้เพิ่มเติม
ความล้ำหน้าของระบบ Toyota Safety Sense เข้าไปอีกเช่นกัน โดยจะประกอบด้วย ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams), ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยดึงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert), ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System), ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธี (Pedal Misoperation Control), ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Front Departure Alert) ตลอดจนระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ All-Speed (All-Speed Adaptive Cruise Control)
Best Hybrid Mid-size Sedan Under 2,500 c.c.
TOYOTA CAMRY
2.5 HEV Premium Luxury
เป็นอีกปีที่คว้ารางวัล Best Hybrid Mid-size Sedan Under 2,500 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2023 ไปครอง
อีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการตอกย้ำชัยชนะแบบขาดลอย ด้วยผลงานของ TOYOTA CAMRY 2.5 HEV Premium Luxury ในฐานะรุ่นสูงสุดแห่งไลน์อัป
TOYOTA CAMRY 2.5 HEV Premium Luxury คือตัวแทนที่ชัดเจนในการผสมผสานความสปอร์ตให้เข้ากับความเหนือระดับของ
สุดยอดเทคโนโลยีอย่างลงตัว เพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เช่น หลังคา Moonroof ช่วยเพิ่มความหรูหรา, ไฟหน้าแบบ LED พร้อม Daytime Running Lights ที่ออกแบบอย่างประณีต และติดตั้งระบบควบคุมการเปิด-ปิดอัตโนมัติ ตลอดจนระบบ Follow-Me-Home มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ส่วนภายในก็สร้างความประทับใจได้ดี จากเบาะหนังที่ออกแบบให้รองรับสรีระทุกตำแหน่ง พร้อมเสิร์ฟความสะดวกด้วย Memory Function เพื่อบันทึกตำแหน่งผู้ขับ, กระจกมองข้าง และพวงมาลัย อีกทั้งเบาะนั่งคู่หน้ายังมาพร้อมกับฟังก์ชันปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, ปุ่มปรับดันหลังไฟฟ้า ไปจนถึงพัดลมใต้เบาะนั่ง และพนักพิง นอกจากนี้ ด้วยฐานะความเป็น Luxury ออปชันต่างๆ จึงถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น พร้อมกับติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายอย่างไร้ที่ติ
สมรรถนะของ TOYOTA CAMRY 2.5 HEV Premium Luxury คือสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรรมการมาแล้ว และยังคงทำหน้าที่ได้ดีอีกครั้งในปีนี้ ทั้งจากโครงสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA (Toyota New Global Architecture) และขุมพลัง Hybrid Dynamic Force ซึ่งมีการพัฒนา Power Control Unit ขึ้นใหม่ ให้สามารถระบายความร้อนได้ดีขึ้น เพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกับแบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH ก็ออกแบบใหม่ให้เล็กลง และเก็บประจุไฟฟ้าได้เร็ว ทั้งยังพัฒนาระบบระบายความร้อนใหม่ ให้
ทนทานมากขึ้น
สร้างผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม คือ กำลังสูงสุด 211 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร จากการทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย
Best Hybrid SUV Under 1,800 c.c.
TOYOTA COROLLA CROSS
HEV GR Sport
TOYOTA COROLLA CROSS HEV GR SPORT อีกหนึ่งผลงานจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ยังคงครองใจคณะกรรมการจนสามารถคว้ารางวัล Best Hybrid SUV Under 1,800 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2023 ไปครองได้อีกครั้งในปีนี้ คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณสมบัติ และสมรรถนะอันยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
TOYOTA COROLLA CROSS HEV GR SPORT มากับการปลุกเร้าอารมณ์ความสปอร์ต บนเรือนร่างของยนตรกรรมอเนกประสงค์ ด้วยจิตวิญญาณแห่ง Gazoo Racing โดยแพ็กเกจชุดแต่ง GR Sport ภายนอกรอบคันที่ออกแบบใหม่โดยเฉพาะ พร้อมตราสัญลักษณ์ GR Sport ส่วนห้องโดยสารภายในได้รับการตกแต่งด้วยโทนสีดำPiano Black เน้นความดุดัน ตัดสลับด้วยความสะดุดตาจากพวงมาลัย และเบาะหนังเดินตะเข็บด้ายสีเงิน และการประทับสัญลักษณ์ GR บนพนักพิงศีรษะ และปุ่มสตาร์ท
ส่วนจุดเด่นแท้จริงแห่งตระกูล GR Sport คือ “สมรรถนะ” อันเกิดจากระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม พร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งมาพร้อมการปรับแต่งขึ้นใหม่ในส่วนของโช้คอัพและคอยล์สปริง เสริมด้วยการติดตั้งเหล็กค้ำตัวถังด้านล่างโดยเฉพาะ
สร้างความเฉียบคมในการควบคุมอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงสามารถสัมผัสได้ถึงศักยภาพโดยรวม 122 แรงม้า อย่างเต็มอรรถรส จากเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร พละกำลัง 98 แรงม้า พร้อมแรงบิด 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร ภายใต้โครงสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA (Toyota New Global Architecture)
Best Mid-size Sedan Under 2,500 c.c.
TOYOTA CAMRY 2.5 Premium
ไม่ได้มีเพียงเวอร์ชันเครื่องยนต์ Hybrid ของ TOYOTA CAMRY เท่านั้น ที่สามารถเอาชนะใจคณะกรรมการงาน Thailand Car
of The Year 2023 ได้ เพราะอีกหนึ่งความประทับใจที่เกิดขึ้น และไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปีที่แล้วก็คือ TOYOTA CAMRY 2.5 Premium รุ่นสูงสุดแห่งเวอร์ชันเครื่องยนต์สันดาปภายใน
โดยยังคงมากับรูปลักษณ์ที่ลงตัวในการผสมผสานความหรูหรา และความสปอร์ต เช่น ไฟหน้าแบบ LED พร้อม Daytime Running Lights, ปลายท่อไอเสียคู่แบบสปอร์ต, ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และหลังคา Moonroof ส่วนภายในห้องโดยสาร นำเสนอความสะดุดตาและความสะดวกสบายผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto
ไฮไลต์ของ TOYOTA CAMRY 2.5 Premium ต้องยกให้กับ “สมรรถนะ” ที่ประกอบด้วย โครงสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่มีส่วนสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่ เช่น จุดศูนย์ถ่วงตัวรถที่ต่ำ เพื่อสร้างการทรงตัวที่ยอดเยี่ยม, โครงสร้างตัวรถที่แข็งแกร่งจากการเพิ่มจุดเชื่อม (Spot Welding) เพื่อรองรับแรงบิดที่มีต่อตัวถัง
ตลอดจนมีการออกแบบตัวรถให้เหมาะกับสรีระผู้ขับขี่ เพื่อลดจุดอับสายตา และสร้างทัศนวิสัยที่ดี รวมถึงมีการปรับเซตพวงมาลัยใหม่ให้มีการตอบสนองแม่นยำขึ้น พร้อมระบบช่วงล่างแบบอิสระ ปีกนกคู่ ซึ่งยังคงให้ความนุ่มนวล และมีการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม
โดยทั้งหมดร่วมกันส่งเสริมให้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร Dynamic Force ถ่ายทอดขีดความสามารถ 209 แรงม้า
พร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตร ออกมาได้อย่างเต็มอรรถรส ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่มาพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shiftและโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบ คือ Eco, Normal และ Sport
Best 2WD Pickup Under 2,500 c.c.
TOYOTA HILUX REVO-D
Z-Edition 2.4 Mid AT
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในฐานะการเป็นแบรนด์ยนตรกรรมอันดับต้นๆ ของเมืองไทย การนำเสนอผลิตภัณฑ์
ที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ภายใต้คุณภาพที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นและไว้วางใจ คือสิ่งที่กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า นอกจากรถยนต์นั่งที่กวาดรางวัลไปมากมายแล้ว รถเพื่อการพาณิชย์ อย่าง TOYOTA HILUX REVO-D Z-Edition 2.4 Mid AT จะกลายเป็นอีกหนึ่งตัวแทนที่แสดงให้เห็นความยอดเยี่ยม และเหมาะสมกับการคว้ารางวัล Best 2WD Pickup Under 2,500 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2023 ในปีนี้เช่นกัน
และความยอดเยี่ยมของ TOYOTA HILUX REVO-D Z-Edition 2.4 Mid AT ก็คือการเติมส่วนผสมความสปอร์ตครั้งใหม่
ลงไป จากปรัชญาการพัฒนารถแข่งระดับโลก Gazoo Racing หรือ GR-Sport เพื่อยกระดับด้านอากาศพลศาสตร์ และสมรรถนะการขับขี่
โดยจะประกอบด้วย GR SPORT SUSPENSION ที่มากับความสูงลดลง 23 มม. ช่วยลดอาการโคลง สร้างการทรงตัวที่ดี และ
มีการบังคับควบคุมที่แม่นยำขึ้น ขณะที่ล้ออัลลอยก็เพิ่มขนาด จาก 16 นิ้ว เป็น 17 นิ้ว รัดด้วยยาง Radial สมรรถนะสูง ขนาด 215/55R17 ช่วยเพิ่มความนุ่มหนึบดุจรถยนต์นั่ง ตลอดจนสร้างอารมณ์การขับขี่แบบสปอร์ต และการยึดเกาะถนนที่มากขึ้นไปอีกขั้น
เพื่อให้ GD SUPER POWER 4 สูบ 6 วาล์ว ขนาด 2.4 ลิตรเสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์
โชว์ศักยภาพได้ถึงขีดสุดกำลัง 150 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตันเมตร สู่ล้อหลัง ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift ในการผ่านด่านทดสอบต่างๆ
Best 2WD Pickup Under 3,200 c.c.
TOYOTA HILUX REVO-D
GR-Sport 2.8 AT
เมื่อขุมพลัง 2.4 ลิตร จาก TOYOTA HILUX REVO D สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการจนสามารถคว้ารางวัลไปครองอย่างภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ความประทับใจเช่นเดียวกัน จะไม่เกิดขึ้นกับรุ่นพี่อย่าง TOYOTA HILUX REVO-D GR-Sport 2.8 AT
ขั้นสุดแห่งความเร้าใจ จากประสบการณ์ด้านมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งถ่ายทอด DNA จากทีมแข่งระดับโลก Toyota Gazoo Racing มาสู่ TOYOTA HILUX REVO-D ที่โดดเด่นด้วยการปรับสไตล์งานดีไซน์ภายใต้หลักอากาศพลศาสตร์ ด้วยแรงบันดาลใจที่มาจากการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ Super GT (Grand Touring) ผสมผสานเข้ากับฟังก์ชันการใช้งาน และรูปลักษณ์
ภายนอกสะดุดตา ด้วยกระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถ และสีดำเมทัลลิค พร้อมสัญลักษณ์ GR ลงตัวกับชุดกันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถ
พร้อมชุดตกแต่ง, กระจกมองข้างสีดำเมทัลลิค และติดตั้งชุดสเกิร์ตรอบคัน ก่อนปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยขนาด 17” ดีไซน์พิเศษ ตัดกับคาลิเปอร์เบรกโทนสีแดง พร้อมการประทับตราสัญลักษณ์ ที่รวมไปถึงบริเวณด้านข้าง และด้านท้ายรถ
ด้านภายในห้องโดยสารที่นำเสนอความเป็น GR-Sport ผ่านรายละเอียดต่างๆ เช่น พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง หุ้มหนัง ตกแต่งด้วยแถบสีแดง, สัญลักษณ์ GR และมาพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift เป็นครั้งแรก รับกับเบาะนั่งหุ้มหนัง Suede แบบเจาะรู ปักตราสัญลักษณ์ GR เพื่อเพิ่มอารมณ์ความสปอร์ต ให้ลงตัวกับงานออกแบบแป้นคันเร่ง และแป้นเบรก ก่อนจะปิดท้ายด้วยหน้าจอสีแบบ TFT สำหรับการแสดงข้อมูล และมากับสัญลักษณ์ GR เช่นกัน
หัวใจหลักแห่งสมรรถนะของ TOYOTA HILUX REVO-D GR-Sport 2.8 AT ที่เอาชนะคู่แข่งไปได้แบบขาดลอย ประกอบด้วย
GD SUPER POWER 2.8 ลิตร 4 สูบ 6 วาล์ว ที่มากับระบบอัดอากาศ VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังได้สูงสุดถึง 204 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่มาพร้อมกับ Sequential Shift และ Paddle Shift
ส่วนต่อมา คือระบบช่วงล่างใหม่ ซึ่งให้อารมณ์สปอร์ตมากขึ้นจากความสูงที่ลดลง 23 มม. ทำงานร่วมกับช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง พร้อมด้านหลังแบบแหนบซ้อน และโช้คอัพ ที่ออกแบบเป็นพิเศษ สำหรับ GR Sport โดยเฉพาะ
Best Diesel 4WD PPV Under 3,200 c.c.
TOYOTA FORTUNER
GR-Sport 2.8 4WD
ส่วนรถอเนกประสงค์ PPV ที่เหมาะสมกับรางวัล Best Diesel 4WD PPV Under 3,200 c.c. มากที่สุด ก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้กับ TOYOTA FORTUNER GR-Sport 2.8 4WD ซึ่งยังคงครองตำแหน่งอย่างเหนียวแน่น ด้วยคุณสมบัติที่พูดได้สั้นๆ ว่า “เพียบพร้อม” อย่างแท้จริง
เริ่มจากความสปอร์ตด้วย DNA แห่ง Toyota Gazoo Racing ที่สื่อสารผ่านรูปลักษณ์ภายนอก เช่น กระจังหน้า และชุดตกแต่งกันชนหน้าสีดำเงา พร้อมสัญลักษณ์ GR, สปอยเลอร์หลังดีไซน์พิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport และล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สีพิเศษเฉพาะ GR Sport ตัดกับดิสก์เบรก ประกบคาลิเปอร์สีแดง ประทับสัญลักษณ์ GR อันโดดเด่น
ต่อเนื่องไปที่ห้องโดยสาร นำเสนอความเป็น GR Sport ตั้งแต่ภาพรวมการตกแต่ง ตลอดจนรายละเอียดสำคัญๆ เช่น เบาะนั่ง
Suede แบบเจาะรู เดินด้ายตกแต่งสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR ลงตัวกับพวงมาลัยหุ้มหนัง Soft Touch ตกแต่ง Center mark และเดินด้ายสีแดง สลับสี Smoke Silver พร้อมสัญลักษณ์ GR ไปจนถึงกุญแจรีโมท, ปุ่มสตาร์ท, มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron และพรมพื้นห้องโดยสาร ซึ่งทั้งหมดดีไซน์พิเศษมาเฉพาะรุ่น GR Sport เช่นกัน
สมรรถนะ คือสิ่งที่ยังคงทำให้คณะกรรมการหลงใหลไม่มีเปลี่ยน ด้วยเรี่ยวแรงระดับ 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร
จากเครื่องยนต์ดีเซล GD Super Power ขนาด 2.8 ลิตร เสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ถ่ายทอดลงสู่ล้อการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้ออย่างเต็มสมรรถนะ
ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift พร้อมโหมดการขับเคลื่อนที่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ถึง 3 รูปแบบ คือ 2H, 4H และ 4L ตลอดจนสิ่งสำคัญอย่าง การสื่อสารความสปอร์ตที่ชัดเจน ผ่านการปรับแต่งระบบช่วงล่างขึ้นใหม่ บนพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ และด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์ ที่มากับคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง พร้อมโช้คอัพแบบโมโนทูบ
ซึ่งทั้งหมดล้วนประกอบกัน เพื่อสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการขับขี่ที่ชัดเจน และเหนือระดับ ทั้งความปราดเปรียวเหนือคาดฐานะการเป็นรถอเนกประสงค์คันใหญ่ พละกำลังที่ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยที่ครบถ้วน ในแบบที่คณะกรรมการไม่อาจปฏิเสธในความเหมาะสมกับรางวัล จนต้องตัดสินมอบให้ครอบครองอีกครั้งในปีนี้
Best Selling Brand & Best Export Brand
TOYOTA
2 รางวัลที่ไม่เคยห่างหายไปจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คือ Best Selling Brand และ Best Export
Brand ซึ่งหมายถึงการการันตีถึงความเป็นผู้นำในตลาดอย่างแท้จริง แม้ที่ผ่านๆ มา แวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ต้องเผชิญวิกฤติมากมายหลายด้าน ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ หรือเรื่องโรคระบาดซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และยังคงทำให้ประเทศไทยอยู่ในภาวการณ์ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีที่ผ่านมา แต่จากภาพรวมของปี 2565 ที่ผ่านมานั้น ถือได้ว่ามีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี
ซึ่งสำหรับยอดขายของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีจำนวนโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 288,809 คัน หรือเพิ่มขึ้น
20.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 34% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จของรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง VELOZ และ YARIS ATIV ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
ทำให้เมื่อแยกย่อยประเภทออกมา จะเห็นว่ารถยนต์นั่ง มียอดจำหน่าย 82,738 คัน (เพิ่มขึ้น 32.6%), รถเพื่อการพาณิชย์ มียอดจำหน่าย 206,071คัน (เพิ่มขึ้น 16.2%), รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) มียอดจำหน่าย 175,786 คัน (เพิ่มขึ้น 16.0%) และรถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) มียอดจำหน่าย 148,101คัน (เพิ่มขึ้น 15.1%) ซึ่งจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ทั้งการแยกย่อยแต่ละประเภท ไปจนถึงภาพรวมทั้งหมด คือบทสรุปความเหมาะสมได้เป็นอย่างดี กับการครอบครองรางวัล Best Selling Brand อีกครั้งในปีนี้
ขณะที่อีกหนึ่งรางวัลอันน่าภาคภูมิใจของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ก็ต้องยกให้กับการเป็น Best Export Brand อีกครั้งในปีนี้ ด้วยผลงานการส่งออกจากปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของยอดรวมการผลิตรถยนต์สำหรับการขายภายในประเทศ และการส่งออก ในปี 2565 มีการเติบโตขึ้นจากที่ผ่านมาถึง 28% หรือคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 659,262 คัน โดยหากแยกออกมาเป็นยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว จะเห็นได้ว่ามีการเติบโตขึ้นมากถึง 30% ซึ่งหากนับเป็นจำนวนจะอยู่ที่ตัวเลขทั้งหมด 378,454 คัน
เลยทีเดียว
Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c.
TOYOTA HILUX REVO
ส่งท้ายความยอดเยี่ยมจากงาน Thailand Car of The Year 2023 ด้วยอีกหนึ่งผลงาน จาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ด้วยรางวัล Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c. จากฝีมือการคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยต่างๆ เพื่อส่งให้ TOYOTA HILUX REVO เป็นยอดรถปิกอัพที่มีคุณสมบัติการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมที่สุด สำหรับตอบโจทย์ผู้บริโภค
โดยจุดเด่นในการพัฒนา TOYOTA HILUX REVO ก็คือ พละกำลัง 204 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร จากขุมพลังใหม่
เครื่องยนต์ GD Super Power เจเนอเรชันที่ 2 ที่มาพร้อมการอัปเกรดขึ้นไปอีกระดับ ในส่วนของระบบอัดอากาศแบบแปรผันใหม่ VN Turbo ให้มีขนาดใหญ่ เพื่อให้มีการอัดอากาศได้มาก และสร้างความแรงได้อย่างต่อเนื่อง ตอบสนองได้ทันใจในทุกรอบความเร็ว
รวมไปถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีการฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอัจฉริยะใหม่ แบบ i-ART ซึ่งมีเซนเซอร์คอมพิวเตอร์คอยควบคุม
แต่ละหัวฉีดอย่างอิสระ และแม่นยำ ทำงานร่วมกับปั๊มคอมมอนเรลแรงดันสูง 250 MPa เพื่อช่วยให้น้ำมันเป็นละอองฝอยยิ่งขึ้น เพื่อสร้างการเผาไหม้ที่หมดจด คุ้มค่า และประหยัดน้ำมันสูงสุด
นอกจากนี้ ระบบส่งกำลังยังเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยให้เกิดการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเช่นกัน ซึ่งใน TOYOTA HILUX REVO โฉมปัจุบัน ก็มีให้เลือกกันถึง 2 รูปแบบ คือ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift ฟังก์ชันปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกระหว่าง PWR (Power) และ Eco เพื่อเพิ่มความประหยัด
ขณะที่เกียร์ธรรมดา 6 สปีด จะมากับความชาญฉลาดของระบบ iMT (Intelligent Manual Transmission) ที่นอกจากจะช่วยควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็วที่ใช้ เพื่อสร้างการขับขี่ให้มีความต่อเนื่องนุ่มนวลแล้ว ยังช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อย่างดีอีกด้วยเช่นกัน