Toyota : Car Of The Year 2020
TOYOTA VIOS
The Best Sedan Under 1,500 c.c.
TOYOTA VIOS หวนกลับคืนบัลลังก์อีกครั้ง ในงาน Thailand Car of The Year 2020 ด้วยฐานะความยอดเยี่ยมที่สุดในสายยนตรกรรมซีดาน พิกัดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ซึ่งมาพร้อมการปรับปรุงใหม่ ภายใต้แนวคิด “Vios Super Spec” ที่อัปเกรดความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการขับขี่
เช่น ภายนอกที่มากับชุดไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อม LED Light Guiding และ Daytime Running Lights และชุดไฟตัดหมอกหน้า LED และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต ส่วนภายในห้องโดยสาร เรียกว่าสร้างความโดดเด่นเต็มขั้น ด้วยเบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ต หุ้มด้วยวัสดุหนังโทนสีดำ เสริมความพรีเมียมด้วยการติดตั้งระบบสตาร์ท (Push Start) และระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry)ซึ่งควบคุมการล็อก-ปลดล็อก อย่างง่ายดาย เพียงปลายนิ้วสัมผัส เช่นเดียวกับชุดเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส ที่รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และฟังก์ชัน T-Link เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ทั้งระบบ iOS และ Android ไปจนถึงการเพิ่มความปลอดภัยด้วยกล้องบันทึกภาพหน้ารถ ที่มาพร้อมกล้องมองหลัง และสัญญาณกะระยะถอยหลัง
และอย่างที่คุ้นเคยกันดี กับความเร้าใจอันโดดเด่นด้าน “สมรรถนะ” จากเครื่องยนต์เบนซินในพิกัด 1.5 ลิตร รหัส 2NR-FBE พร้อมระบบวาล์วอัจฉริยะ DUAL VVT-i ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพละกำลัง 108 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 140 นิวตันเมตร รับหน้าที่ถ่ายทอดความสนุกด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด พร้อม Sequential Shift, ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering), ระบบช่วงล่างด้านหน้าอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง เสริมเหล็กกันโคลง ตลอดจนการอัปเกรดระบบความปลอดภัย ซึ่งเพิ่มเติมระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control) มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เพื่อจัดระเบียบให้ TOYOTA VIOS เป็นยนตรกรรมที่สร้างความสนุกสนานในทุกการขับขี่ ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่มอบความอุ่นใจได้ทุกเส้นทาง เช่นเดียวกับในทุกสถานีการทดสอบเพื่อตอกย้ำขีดความสามารถที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทย ไปจนถึงมัดใจคณะกรรมการให้มอบรางวัล The Best Sedan Under 1,500 c.c. แก่ TOYOTA VIOS
TOYOTA COROLLA ALTIS HV HIGH
The Best Hybrid Sedan Under 1,800 c.c.
TOYOTA COROLLA อีกหนึ่งรถยนต์นั่งยอดนิยมของผู้บริโภคชาวไทย ที่ทำตลาดต่อเนื่องมาตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในบ้านเราเมื่อปี พ.ศ. 2509 จนถึงปัจจุบัน กับฐานะของเจเนอเรชันที่ 12 พร้อมการสร้างมาตรฐานใหม่ที่สะกดสายตา โดยว่ากันตั้งแต่งานดีไซน์ที่โดดเด่น ทั้งด้านรูปลักษณ์ภายนอก จากแนวคิด “Shooting Robust” เน้นเส้นสายโฉบเฉี่ยว ส่วนภายในได้รับการพัฒนาผ่านแนวคิด “Clean & Wide” นำเสนอความกว้างขวาง เพียบพร้อมด้วยความสะดวกในการใช้งานและเพื่อสื่อถึงการไปอีกขั้นของ “สมรรถนะ” ซึ่งยกระดับมาตรฐานจากเจเนอเรชันที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด
ตั้งแต่การหยิบยกโครงสร้างตัวถังจากสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA หรือ Toyota New Global Architecture มาใช้ ผสมผสานไปกับการพัฒนาระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ MacPherson Strut และช่วงล่างด้านหลังอิสระ แบบปีกนกคู่ Double Wishbone เพื่อสร้างความสนุกสนาน ( Fun-to-Drive) ในการขับขี่
โดยมีหัวใจหลักเป็นระบบการขับเคลื่อนใหม่ ที่เกิดจากเครื่องยนต์ Hybrid เจเนอเรชันที่ 4 ซึ่งถูกติดตั้งมาให้เป็นครั้งแรกในโมเดล TOYOTA COROLLA ALTIS และกลายเป็นรถยนต์ รุ่นเดียวในตลาด C-Segment ที่ใส่ระบบ Full Hybrid System ที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ยังคงไว้ซึ่งความสนุกในการขับขี่
ด้วยขุมพลังรหัส 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร กับเรี่ยวแรงสูงสุด 98 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มากับพละกำลัง 53 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ในการสร้างความเร้าใจที่สัมผัสได้ ตั้งแต่ “อัตราเร่ง” ที่เกิดจาก 2 แหล่งกำเนิดพลัง ที่สื่อสารความมันส์ออกมาได้อย่างชัดเจน ผ่านการใช้โครงสร้างตัวถังใหม่ TNGA ตลอดจนระบบพวงมาลัยแบบ EPS (Electric Power Steering) และระบบช่วงล่างที่พัฒนาขึ้นใหม่
เพื่อสร้างบุคลิกที่เปลี่ยนไปของ TOYOTA COROLLA ALTIS HV HIGH ให้ออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย และกลายเป็นยนตรกรรมขับสนุกที่ไม่เคยจอดนิ่งๆ อยู่ในสนามทดสอบ ด้วยการแวะเวียนของคณะกรรมการทดสอบ Thailand Car of The Year 2020 ที่ต่างหลงใหลในการยกระดับสมรรถนะของ TOYOTA COROLLA ALTIS เจเนอเรชันล่าสุด ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ตลอดจนความกระชับฉับไวที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งของทั้งระบบพวงมาลัย และช่วงล่าง
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะ TOYOTA COROLLA ALTIS HV HIGH ยังได้รับการยกระดับในเรื่องของระบบความปลอดภัยมากขึ้นไปอีกขั้น ด้วยรายนามออปชันมาตรฐานในระดับที่ใกล้เคียงยนตรกรรมเรือธงในค่าย ด้วยระบบ Toyota Safety Sense เช่น Back Guide Monitor กล้องมองภาพขณะถอยหลัง พร้อมระบบ Rear Cross Traffic Alert ช่วยเตือนขณะถอยรถ และ Back Sonar สัญญาณเตือนกะระยะท้ายรถ
ไปจนถึงการเพิ่มความอุ่นใจในการขับขี่ ผ่านระบบ Blind Spot Monitor ช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง, ระบบ Hill-start Assist Control ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบ Traction Control System ช่วยป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบ Vehicle Stability Control ช่วยควบคุมการทรงตัว พร้อมด้วย ระบบ Anti-lock Brake System ช่วยป้องกันล้อล็อก ที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบ Electronic Brake-force Distribution ในการช่วยกระจายแรงเบรก พร้อมระบบ Brake Assist ช่วยเสริมแรงเบรก เอาไว้ให้อีกด้วยเช่นกัน ทั้งยังรวมถึงระบบ Tire Pressure Monitoring System แจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติและถุงลมเสริมความปลอดภัยระบบ SRS 7 ตำแหน่งในทุกรุ่น โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA ที่มาพร้อมคานนิรภัย
และด้วยคุณสมบัติที่ว่ามานั้น ก็มากพอที่จะทำให้คณะกรรมการลงความเห็นว่า TOYOTA COROLLA ALTIS HV HIGH ก้าวไปอีกขั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเหมาะสมกับฐานะ The Best Hybrid Sedan Under 1,800 c.c. ที่ตามด้วยการคว้ารางวัลกลับไปครองได้อย่างไร้ข้อโต้แย้ง
TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium
The Best Hybrid Mid-size Sedan Under 2,500 c.c.
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปีที่ TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium ยนตรกรรมพรีเมียมระดับเรือธง
เจเนอเรชันล่าสุด ได้แสดงความยอดเยี่ยมอีกครั้งในงาน Thailand Car of The Year 2020 เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Hybrid อันสมบูรณ์แบบ ผ่าน “สมรรถนะ” แห่งการขับเคลื่อนที่โดดเด่น
อันประกอบด้วย เทคโนโลยีสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ เช่น Body Rigidity ที่เพิ่มความมั่นคงในโครงสร้างตัวถังจากวัสดุเหล็กอันแข็งแรง, การเพิ่มจุดเชื่อมตัวรถ (Spot Welding) ในส่วนที่ต้องรองรับแรงบิด ตลอดจนการออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ Low Center of Gravity ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว ที่มาพร้อมการปรับแต่งพวงมาลัย และระบบช่วงล่าง Double Wishbone Suspension ใหม่
ซึ่งทั้งหมดถูกดีไซน์ขึ้นมา เพื่อหนุนส่งระดับความสามารถของขุมพลัง 4th Generation Hybrid ที่มากับชุดแบตเตอรี่ไฮบริดใหม่แบบ Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) ที่พัฒนาให้มีขนาดเล็กลง แต่สามารถกักเก็บประจุไฟฟ้าได้เร็วขึ้น ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์บล็อกล่าสุดในรหัส A25A-FXS แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมด้วยระบบ VVT-iE และ D-4S ภายใต้ระบบการเผาไหม้แบบ Atkinson Cycle
โดยมีระบบกล่อง PCU (Power Control Unit) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ ในการถ่ายทอดเรี่ยวแรง 178 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร และพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 88 แรงม้า และแรงบิด 202 นิวตันเมตร ผ่านระบบส่งกำลังแบบเกียร์ E-CVT
เพื่อนำพาความยอดเยี่ยมกลับมาให้คณะกรรมการได้สัมผัสอีกครั้ง บนสถานีทดสอบต่างๆ เช่น อัตราเร่งที่เร้าใจจากพละกำลังของทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ตลอดจนความเฉียบคมของการควบคุมและเสถียรภาพของระบบช่วงล่าง จากสถานี Slalom และ Lane Change ที่เปลี่ยนบุคลิกของ TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium ยนตรกรรมขนาดกลางให้มีความคล่องตัว เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์การขับขี่ที่สนุกสนาน
ซึ่งรวมถึงความสามารถในการสร้างความมั่นใจทุกสถานการณ์การขับขี่อันเกิดจากการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยระดับ World Class ภายใต้ชื่อเทคโนโลยี Toyota Safety Sense ซึ่งอัดแน่นด้วยฟังก์ชันครบครันในระดับเทียบเท่ายนตรกรรมฝั่งยุโรป ในงบประมาณค่าตัวที่คุ้มค่า จนทำให้ TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium ยังคงมีคุณสมบัติที่ควรค่าแก่การครองรางวัล The Best Hybrid Mid-size Sedan Under 2,500 c.c. ในปีนี้ไปอีกครั้ง
TOYOTA C-HR HV Hi
The Best Hybrid SUV Under 1,800 c.c.
The Best Hybrid SUV Under 1,800 c.c. คือรางวัลอันเป็นผลงานของ TOYOTA C-HR HV Hi
ยนตรกรรมสไตล์ “ครอสโอเวอร์” อันมีเอกลักษณ์ที่ยังคงสร้างความประทับใจทุกครั้งเมื่อได้เห็น ในงานออกแบบอันมีที่มาของแรงบันดาลใจจาก Diamond Inspired Design หรือการใช้เหลี่ยมมุมของเพชร
มาเป็นแรงบันดาลใจ
เพื่อสื่อถึง “คุณสมบัติ” ที่โดดเด่นหลายประการ เช่น โครงสร้างตัวถัง TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่เพิ่มศักยภาพในการขับขี่ให้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังช่วยยกระดับความสามารถของขุมพลังที่โดดเด่นจากระบบ Hybrid เจเนอเรชันที่ 4 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ได้ดี
โดยประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR-FXE ความจุ 1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 98 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์ และแรงบิด 163 นิวตันเมตร ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า รวมพละกำลังเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ตลอดจนเรื่องของออปชันความล้ำสมัยที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ตลอดจนระบบความปลอดภัยระดับโลก อย่าง Toyota Safety Sense
ซึ่งทั้งหมดทำให้ TOYOTA C-HR HV Hi มากับความเพียบพร้อมในแบบที่เรียกได้ว่า เทียบเท่ากับยนตรกรรมขนาดกลางในสังกัด รวมถึงเรื่องของ “สมรรถนะ” ที่มอบความเร้าใจได้ไม่แพ้กัน แม้จะเป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV แบบ “ครอสโอเวอร์” ก็ตาม จนกลายเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่มีการพูดถึง และต้องออกแสดงความสามารถบนสนามอยู่บ่อยๆ
โดยเฉพาะในส่วนของสถานี Slalom และ Handling Test ที่สามารถพิสูจน์ถึงศักยภาพของโครงสร้างตัวถัง TNGA ได้อย่างชัดเจน และเปลี่ยนทุกความรู้สึกของการขับขี่ให้กลายเป็นความสนุกสนานในการขับขี่ ด้วยอารมณ์ความสปอร์ต ทั้งจากการมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ (Low Gravity), การปรับแต่งระบบพวงมาลัยใหม่ (Good Handling) ไปจนถึงการพัฒนาระบบช่วงล่าง (Double Wishbone Suspension)
และนั่นคือสิ่งที่คณะกรรมการ Thailand Car of The Year 2020 “ชื่นชอบ” พร้อมทั้งยังคงมีมติ ทำให้รางวัล The Best Hybrid SUV Under 1,800 c.c. ของปีนี้ คงที่อยู่กับความสามารถของ TOYOTA C-HR HV Hi เช่นเดิม
TOYOTA MAJESTY
The Best Van Under 3,000 c.c.
หลังจากเปิดเผยข้อมูลเบื้องต้น ในที่สุด บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ก็ทำเซอร์ไพรส์ตลาดเมืองไทย ด้วยรถตู้ระดับพรีเมียมรุ่นล่าสุด “TOYOTA MAJESTY” ในคอนเซปต์ LIVE BEYOND THE CLASS ที่ก้าวสู่ความสมบูรณ์แบบที่เหนือระดับขึ้นไปอีกขั้น สมกับตำแหน่ง The Best Van Under 3,000 c.c.
ตั้งแต่มิติตัวถังที่มีขนาดใหญ่โต จากความยาว 5,265 มม. ความกว้าง 1,950 มม. ความสูง 1,990 มม. วางตัวบนความยาวช่วงล้อที่ 3,210 มม. และความกว้างช่วงล้อหน้า 1,675 มม. และล้อหลัง 1,670 มม. ก่อนปูพรมด้วยงานดีไซน์ที่นำเสนอความโดดเด่นให้กับรูปลักษณ์ ด้วยชุดกระจังหน้าโครเมียมดีไซน์หรูหรา ประกบชุดไฟหน้าแบบ LED พร้อมชุดไฟส่องสว่างเวลากลางวัน และชุดไฟตัดหมอก ตลอดจนชุดไฟท้ายดีไซน์ใหม่แบบ LED กระจกมองข้าง พร้อมสัญญาณไฟเลี้ยว และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
อีกทั้งภายในห้องโดยสารยังครบเครื่องไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่นั่งแบบ Captain Seat ที่มาพร้อมระบบบริหารหลังไฟฟ้า, ระบบที่นั่งปรับเอนไฟฟ้า พร้อมที่รองขาปรับอัตโนมัติ, ระบบประตูสไลต์เปิด-ปิด อัตโนมัติ 2 ด้าน พร้อมระบบป้องกันการหนีบไปจนถึงระบบสตาร์ทอัจฉริยะ และช่องเชื่อมต่อ USB ที่จัดมาให้มากถึง 7 ตำแหน่ง
ซึ่งภายใต้ออปชันดังกล่าว TOYOTA MAJESTY ยังมอบสุนทรียภาพมากขึ้น ด้วยการออกแบบให้เครื่องยนต์วางด้านหน้า (Semi-Bonnet) ภายใต้โครงสร้างแบบวงแหวน และการเปลี่ยนระบบช่วงล่างใหม่ เพื่อทำให้เกิดการดูดซับแรงสั่นสะเทือน ไปพร้อมๆ กับการสร้างความเงียบภายในห้องโดยสารได้เป็นอย่างดี
TOYOTA MAJESTY เปิดตัวแรงด้วยเครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยสมรรถนะ เพื่อสร้างประสิทธิภาพการขับขี่ดีกว่าที่เคย ด้วยขุมพลังดีเซล รหัส 1GD-FTV แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ ในขนาด 2.8 ลิตร รองรับน้ำมันดีเซล B20 และมีพละกำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดที่ 420 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift
ภายใต้การรองรับที่นุ่มนวล โดยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์ คอยล์สปริง แต่ยังคงให้เสถียรภาพการขับขี่และการทรงตัวที่ดี ทั้งยังมีการเสริมส่งด้วยการควบคุมอันฉับไวจากระบบพวงมาลัย แบบแร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรง ซึ่งช่วยเปลี่ยนบุคลิกของรถอเนกประสงค์คันยักษ์ให้ปราดเปรียวได้อย่างเหนือความคาดหมายพิสูจน์ได้จากการผ่านโจทย์สถานีทดสอบ Lane Change และ Slalom แต่จบลงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของคณะกรรมการ
ซึ่งนอกจากเรื่อง “สมรรถนะ” ที่ลดข้อจำกัดของการเป็นยนตรกรรมขนาดใหญ่แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่น และยกระดับความมั่นใจในการขับขี่ได้อย่างเต็มพิกัด ก็คือเรื่องของมาตรฐานระบบความปลอดภัยในชื่อ Toyota Safety Sense ภายใต้แนวคิดการพัฒนาแบบ “Ever-Better Car” ที่เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยสูงสุดในตลาดเช่น กล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor), ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert), ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
ตลอดจนการสร้างความมั่นใจในขณะขับขี่ จากระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System), ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams), ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน (Lane Departure Alert), ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control), ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control), ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Limited Slip Difference), ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-Start Assist Control), ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System), ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) และระบบไฟกะพริบเมื่อเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal)
ที่รวมถึงความอุ่นใจจากการเชื่อมต่อผ่านระบบ T-Connect Telematics ด้วยฟังก์ชันสุดล้ำสมัย อาทิ ระบบ Geo-Fencing ที่สามารถแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณที่กำหนด, ระบบ Find My Car สำหรับเช็กตำแหน่งรถผ่านแอปพลิเคชัน, ระบบ SOS Emergency Service ที่คอยประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบ Parking Alert ที่จะแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ท หรือเคลื่อนที่ หรือแม้กระทั่งมอบความสะดวกสบายด้วยระบบ My Toyota Wi-Fi สำหรับเชื่อมต่อความบันเทิงออนไลน์ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 9 เครื่อง และระบบ OPS (Operator Service) ในฐานะผู้ช่วยค้นหาเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจองร้านอาหารชั้นนำ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นเรื่องง่ายทั้งในการขับขี่ หรือใช้ชีวิตประจำวันเมื่ออยู่กับ TOYOTA MAJESTY
TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD
The Best PPV Diesel 4WD under 3,200 c.c.
TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD ยังคงเป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมสายรถอเนกประสงค์ของค่าย TOYOTA ที่มาพร้อมกับความยอดเยี่ยมแบบครบเครื่องด้านสมรรถนะ ที่แสดงออกอย่างชัดเจน ผ่านการแต่งองค์ทรงเครื่องในเวอร์ชัน TRD Sportivo II ซึ่งโดดเด่นมากขึ้นไปอีกระดับ โดยเฉพาะตัวถังโทนสีขาว White Pearl CS ที่หล่อเร้าใจด้วยหลังคา Black Top เคลือบฟิล์มดำ
ลงตัวกับมุมมองด้านหน้าสุดเท่ ด้วยชุดกระจังหน้าสีดำเมทัลลิก ซึ่งมากับชุดกันชนหน้า พร้อมชุดสเกิร์ตหน้า และกรอบไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ ขณะที่ด้านหลังนั้น มากับชุดกันชนท้าย พร้อมสเกิร์ตหลังสไตล์ใหม่ เสริมความโดดเด่นด้วยคิ้วประตูท้ายสีดำเมทัลลิก ตลอดจนชุดท่อไอเสียสเตนเลส TRD, การประทับตราสัญลักษณ์รุ่น TRD Sporivo พร้อมด้วยความสะดวกจากบานประตูท้าย เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า มากับไฟส่องสว่างสัญลักษณ์ TRD เช่นเดียวกับ Scupplate กาบบันได ก่อนปิดท้ายด้วยความดุดันจากล้ออัลลอยขนาด TRD 20 นิ้ว สีทูโทน
ภายในห้องโดยสารเปิดสัมผัสใหม่แห่งความสปอร์ตหรู ด้วยวัสดุหนัง และหนังสังเคราะห์โทนสีดำแดง ที่มากับชุดแต่งลาย Carbon Kevlar และแถบโครเมียม ทั้งยังรวมถึงออปชันการใช้งานต่างๆ ที่ได้รับการอัปเกรดภายใต้ธีมเดียวกัน เช่น กุญแจ Smart Key และปุ่ม Push Start พร้อมสัญลักษณ์ TRD, เบาะนั่งหุ้มหนังคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง โทนสีดำสลับแดง พร้อมเดินด้ายแดงสไตล์สปอร์ต อันลงตัวกับมาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ดีไซน์ใหม่ โทนสีแดงลาย Carbon Kevlar พร้อมสัญลักษณ์ TRD และชุดพรมปูพื้น TRD Sporivo
นอกจากนี้ ยังทำการอัปเกรดระบบเครื่องเสียงใหม่ สู่ระดับ Premium Audio เพาเวอร์แอมป์ และลำโพง JBL ซึ่งรองรับระบบนำทาง Navigator, ระบบเชื่อมต่อ TiCONNECT, ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth พร้อมเครื่องเล่น DVD และกล้องมองหลัง ที่ควบคุมได้อย่างง่ายดายผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะ “สมรรถนะ” จากเครื่องยนต์ดีเซล พิกัด 2.8 ลิตร พร้อม VN Turbo แบบแปรผัน ที่สร้างความเร้าใจด้วยพละกำลัง 177 แรงม้า พร้อมแรงบิดระดับ 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift ที่มากับฟังก์ชันเลือกอรรถรสการขับขี่ระหว่าง Eco Mode และ Power Mode
ตลอดจนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในชื่อ“Sigma 4” พร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบ 2 ล้อความเร็วสูง (H2) ที่สามารถ Shift-on-the-fly ไปเป็นแบบ 4 ล้อความเร็วสูง (4H) หรือยกระดับขีดความสามารถในการลุยด้วยโหมด 4 ล้อความเร็วต่ำ (L4) ที่มากับฟังก์ชันช่วยเหลือการขับขี่อีกมากมายในการสร้างความมั่นใจ และปลอดภัยในทุกรูปแบบการขับขี่
ซึ่งทั้งหมดนั้น คือคุณสมบัติแห่ง “สมรรถนะ” ที่คณะกรรมการไว้วางใจ ควบคู่ไปกับความโดดเด่นจากเวอร์ชัน TRD Sportivo II จนกลายเป็นส่วนผสมแห่งความลงตัว ที่เหมาะกับการเป็นยนตรกรรมยอดนิยมของผู้บริโภคชาวไทย รวมถึงการเป็นอันดับหนึ่งในรุ่น เพื่อคว้ารางวัล The Best PPV Diesel 4WD under 3,200 c.c. ในปีนี้ไปครองอย่างสมฐานะ
TOYOTA HILUX REVO
he Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c.
รางวัล The Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c. คือรางวัลอันเหมาะสมกับยนตร กรรมที่ตอบโจทย์เรื่องอัตราการประหยัดน้ำมันอย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในรุ่นเครื่องยนต์ที่ต่ำกว่า 3,500 ซี.ซี. ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่มีใครมาแทน TOYOTA HILUX REVO
ที่ยังคงครองฐานะยอดรถปิกอัพประหยัดนำมัน ด้วยความล้ำสมัยในการพัฒนาขุมพลังดีเซล คอมมอนเรล เจเนอเรชันล่าสุดแบบ GD Efficient Boost ที่มีความพิเศษด้านเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันสูงสุด อันประกอบด้วย ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงอัจฉริยะแรงดันสูง 220MPa เสริมด้วยระบบอัดอากาศแปรผันแบบ VN Turbo ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมการเปิด-ปิด ครีบปรับแรงดันอากาศ ที่ทำงานอย่างละเอียด และสัมพันธ์กับระดับความเร็วที่ใช้ อีกทั้งระบบวาล์วยังได้รับการออกแบบพิเศษ เพื่อลดแรงเสียดทาน ในจังหวะการเปิด-ปิด พร้อมด้วยการติดตั้งระบบปรับตั้งวาล์วอัตโนมัติมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
และการติดตั้งระบบ EGR – Exhaust Gas Recirculation ซึ่งสามารถนำไอเสียให้กลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ เพื่อทำให้เกิดการลดความร้อนของเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ตลอดจนมีการติดตั้งระบบ Stop & Start System เสริมด้วยฟังก์ชัน Drive Mode Switch ที่มีตัวเลือก ECO Mode ให้เลือกใช้ เพื่อสร้างศักยภาพการประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด ที่มีการพิสูจน์ทราบโดยสื่อมวลชนไทยหลายครั้ง หลังจากได้สัมผัสมาแล้ว ทั้งเส้นทางในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งต่างก็ยอมรับเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องความประหยัดของ TOYOTA HILUX REVO
TOYOTA
The Best Selling Brand
ปิดท้ายด้วยรางวัล The Best Selling Brand ที่ตอกย้ำความสำเร็จแห่งการทำตลาดในประเทศไทยของแบรนด์ TOYOTA แบรนด์ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยให้การตอบรับมากที่สุด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2505 จนมาถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2563
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทยจำกัด คืออันดับหนึ่งของแบรนด์รถยนต์ที่ครองใจผู้ใช้รถชาวไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้ ด้วยหลากหลายรุ่นยนตรกรรมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะโครงการ IMV – Innovative International Multi-Purpose Vehicle ซึ่งมี Product Hero เป็นรถ TOYOTA HILUX VIGO และ TOYOTA FORTUNER ยนตรกรรมสร้างชื่อ ที่ตอกยำให้แบรนด์ TOYOTA ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในประเทศไทย ด้วยตัวเลขการส่งออกเพื่อจำหน่ายทะลุ 1 ล้านคันในปี พ.ศ. 2553 ไปพร้อมๆ กับการเฉลิมฉลองความสำเร็จยอดการผลิตในไทยครบ 5 ล้านคัน
และดันให้ยอดจำหน่ายรถยนต์รวมในประเทศไทยเดินหน้าไปแบบ “ก้าวกระโดด” ด้วยตัวเลขจากปี พ.ศ. 2561 ที่ทำสถิติ “ทะลุล้าน” ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของตลาดรถยนต์ไทย ถึงแม้จะต้องผ่านวิกฤติเศรษฐกิจ หรือปัญหามากมาย แต่ TOYOTA ก็ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการต่อผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง
และนำมาซึ่งความสำเร็จอีกครั้งในปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ด้วยการบันทึกสถิติยอดจำหน่ายมากกว่า “1 ล้านคัน” กับจำนวนยอดขาย 1,007,552 คัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของตลาดรถยนต์ไทยที่มียอดขายถึงระดับ 1 ล้านคัน ซึ่งเป็นเหตุผลให้ที่แบรนด์ TOYOTA เหมาะสมกับรางวัล The Best Selling Brand แห่ง Thailand Car of The Year 2020 นี้