Toyota รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2022
Best Hybrid Sedan Under 1,800 c.c.
Toyota Corolla Altis HEV Premium
เมื่อพูดถึงระบบ Hybrid ในเมืองไทย เราเชื่อว่าหลายคนคงต้องขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการพยายามปลุกปั้นจากสิ่งที่เคยเป็นแค่แนวคิด มาสู่การผลิตจริง แม้ยุคนั้นจะมีเพียงหนึ่งเดียว คือ Toyota Prius เป็นโมเดลนำร่องเปิดใจผู้บริโภคชาวไทยก็ตาม
กระทั่งที่สุด ในปัจจุบันก็คงปฎิเสธไม่ได้ว่า ระบบ Hybrid คือหนึ่งในตัวเลือกการซื้อรถของผู้บริโภคชาวไทยในยุคปัจุบัน โดยมี Toyota เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจ เพราะนอกจาก “ความเชื่อมั่น” แล้ว … “รุ่นรถ” ที่มีให้เลือกหลากหลาย นับเป็นอีกสิ่งที่ช่วยให้เกิดการ “เข้าถึง” ผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
หนึ่งในนั้นก็คือ Toyota Corolla Altis HEV Premium ที่อัปเกรดขึ้นใหม่ เพื่อคว้ารางวัล Best Hybrid Sedan Under 1,800 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2022 ไปครองอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งสิ่งที่ยังคงดึง “ความสนใจ” ของคณะกรรมการได้ดีที่สุด คือ สมรรถนะที่ไล่มาตั้งแต่โครงสร้างตัวถัง จากสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) เพื่อช่วยเสริมศักยภาพการขับเคลื่อน ผ่านขุมพลัง Hybrid เจเนอเรชันล่าสุด ซึ่งประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR-FXE พิกัด 1.8 ลิตร
โดยเรี่ยวแรงจากทั้ง 2 ส่วน คือ 53 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิดสูงสุด 163 นิวตันเมตร กับเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงสุด 98 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร รับหน้าที่ถ่ายทอดกำลังอย่างเหมาะสม ผ่านชุดเกียร์อัตมัติ E-CVT เพื่อเปลี่ยนทุกอิริยาบถให้เต็มไปด้วยอารมณ์ความสนุกสนานในการขับขี่อันเด่นชัด และนั่นคือ สิ่งที่คณะกรรมการยังคงสัมผัสได้ทุกครั้ง เมื่อประจำการอยู่หลังพวงมาลัย
มากกว่าสิ่งใดเลยก็คือ ความมั่นใจที่เกิดขึ้นบนสนามทดสอบ จากมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก Toyota Safety Sense ที่ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตื่นตัวและพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างฉับไว ขณะที่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายมาตรฐาน ก็มีมาให้ใช้อย่างครบครัน หรือเทียบชั้นยนตรกรรมในระดับสูงกว่า
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของ Toyota Corolla Altis HEV Premium ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี สมรรถนะ และความสะดวก
สบาย ก็คือ ความเป็นยนตรกรรมที่สามารถ “เข้าถึง” ได้ง่าย ซึ่งไม่ใช่แค่ในเรื่องของการใช้งานเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของ “ราคา” ที่บอกเลยว่า “ความครบเครื่อง” และ “คุ้มค่า” ขนาดนี้ แต่กลับมีค่าตัว “ไม่ถึงล้าน”…นั่นแหละ เคล็ดลับของการครองรางวัลนี้ไปอีกหนึ่งสมัย
Best Hybrid Mid-Size Sedan Under 2,500 c.c.
Toyota Camry 2.5 HEV Premium
และถ้า Toyota Corolla Altis HEV Premium คือตัวแทนความยอดเยี่ยมแห่งยนตรกรรมซีดาน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้มาก่อนอย่าง Toyota Camry 2.5 HEV Premium จะกลายเป็นความสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งยนตรกรรมซีดานขนาดกลาง เหมาะสมกับรางวัล Best Hybrid Mid-Size Sedan Under 2,500 c.c. ในปีนี้อีกครั้ง
Toyota Camry 2.5 HEV Premium ที่เห็นอยู่นี้ คือโมเดลปรับปรุงใหม่ในส่วนของรายละเอียดรูปลักษณ์ ที่ผสมผสานระหว่างความสปอร์ต และความหรูหรา เช่น จุดเด่นอย่างการเพิ่มขนาดของล้ออัลลอยที่ขยับไปเป็น 18 นิ้ว ตลอดจนมุมมองด้านหน้าที่เฉี่ยวขึ้น จากดีไซน์ของชุดโคมไฟหน้า และกระจังดีไซน์ใหม่ แต่งด้วยคิ้วโครเมียม
ส่วนภายในยังเต็มไปด้วยอารมณ์ของยนตรกรรมระดับ “เรือธง” ที่เน้นความหรูหรา พรีเมียม เช่นเดียวกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย และตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการบนพื้นที่ห้องโดยสาร ซึ่งบริหารจัดการออกมาให้มีความกว้างขวาง
สิ่งที่ทำให้ Toyota Camry 2.5 HEV Premium เหนือกว่าใคร ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของ “ออปชัน” เท่านั้น เพราะหลายคะแนนเสียงเกิดจากประเด็นความสมดุลของ “สมรรถนะ” โดยมีหัวใจหลักเป็นขุมพลัง Hybrid เจเนอเรชันที่ 4 จากความร่วมมือระหว่างเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร Dynamic Force ที่มีกำลังสูงสุด 178 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 88 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 202 นิวตันเมตร ซึ่งรวม 2 ระบบ สามารถสร้างเรี่ยวแรงได้มากถึง 211 แรงม้า
โดยมีชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ทำหน้าที่ถ่ายทอดพละกำลัง ซึ่งคงจะสร้างความประทับใจได้ไม่มาก หากไร้พื้นฐานชั้นยอด อย่างโครงสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่ยกระดับภาพรวมของศักยภาพในการขับขี่ได้อย่างประทับใจในทุกอิริยาบถของการขับขี่ แถมมาด้วยตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ดีงามกับระดับการเคลมไว้ที่ 23.8 กม./ลิตร
คุณสมบัติอีกหนึ่งอย่างของ Toyota Camry 2.5 HEV Premium ที่ก้าวล้ำกว่าใคร ก็คือ ระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก Toyota Safety Sense ซึ่งมากับสถานะของ “เวอร์ชันใหม่ล่าสุด” ที่ขยายขีดความสามารถในการรับมือเหตุไม่คาดฝัน เพื่อสร้างความปลอดภัยสูงสุดในทุกๆ การขับขี่อย่างดีเยี่ยม
ฉะนั้น ด้วยองค์ประกอบภาพรวมทุกๆ ด้านของ Toyota Camry 2.5 HEV Premium ซึ่งถูกปรุงแต่งมาให้ “ครอบคลุม” ทุกความต้องการอย่างถึงที่สุดนี่แหละ คือจุดเด่นที่ยังคงเป็นเรื่องประทับใจของคณะกรรมการ แถมเมื่อมอง “ราคา” รวมเข้าไป ก็คงไม่แปลกใจที่รางวัลจะยังคงโดนจับจองโดยเจ้าของเดิมอีกครั้ง
Best Hybrid SUV Under 1,800 c.c.
Toyota Corolla Cross HEV GR Sport
ย้อนกลับไปในช่วงกลางปี พ.ศ. 2563 บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ส่งเซอร์ไพรส์ผู้บริโภคชาวไทย ด้วยการเปิดตัวโมเดลใหม่ในชื่อ Toyota Corolla Cross ผู้มากับฐานะของรถอเนกประสงค์พิกัด C-SUV เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งตามมาด้วยกระแสตอบรับเกินคาดหมาย จากคุณสมบัติโดดเด่นเฉพาะตัวสำหรับการใช้งาน และเพียงพอกับการการันตีความยอดเยี่ยม
แต่ด้วยการที่ยังไม่เติมเต็มกับกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความ “เร้าใจ” ขั้นกว่า ฉะนั้น เพื่ออุดช่องว่างดังกล่าว การนำเอา DNA ด้านมอเตอร์สปอร์ตเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เพื่อสร้างบางสิ่งที่เหนือกว่า น่าจะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล…และนี่คือ Toyota Corolla Cross HEV GR Sport
ยนตรกรรมอเนกประสงค์ C-SUV ที่มาพร้อมกับจิตวิญญาณแห่ง Gazoo Racing เพื่อสร้างความโดดเด่นสะดุดตานับแต่แรกเห็นรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งเสริมหล่อด้วยชุดแพ็กเกจ GR Sport รอบคัน ไล่มาตั้งแต่ ชุดกันชนหน้า, กระจังหน้า, สเกิร์ตข้าง, ชุดกันชนหลัง, ไฟท้าย และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่โดยเฉพาะ พร้อมการประทับตราสัญลักษณ์ GR Sport ขณะที่ภายในมีการตกแต่งแผงคอนโซลหน้าให้ดุดันด้วยโทนสีดำ Piano Black พร้อมพวงมาลัย และเบาะหนังเดินตะเข็บด้ายสีเงิน และการใส่โลโก้ GR เข้าไปบนพนักพิงศีรษะ และปุ่มกดสตาร์ท
เพียงเท่านั้นยังไม่พอ เพราะขึ้นชื่อว่า GR Sport ทั้งที จึงต้องมีดีกรีเรื่อง “สมรรถนะ” เข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญ แม้จะไม่มีการอัปเกรดเรื่อง “พละกำลัง”จากพื้นฐานขุมพลัง Hybrid คือ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร รหัส 2ZR FXE เรี่ยวแรง 98 แรงม้า พร้อมแรงบิด 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มีกำลังสูงสุด 88 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 202 นิวตันเมตร ก็ตาม
ด้วยเพราะการปรับแต่งหลักๆ จะไปอยู่กับระบบพวงมาลัยที่แม่นยำ และเฉียบคมขึ้น ผสานด้วยระบบช่วงล่างที่อัปเกรดใหม่ในส่วนของโช้คอัพ และคอยล์สปริง ตลอดจนเหล็กค้ำตัวถังด้านล่าง บนพื้นฐานด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม พร้อมเหล็กกันโคลง
ซึ่งเพียงเท่านี้ก็สามารถเปลี่ยนบุคลิกจากรุ่นมาตรฐานให้เร้าใจในสไตล์สปอร์ตมากขึ้นอย่างเด่นชัด ด้วยส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นการช่วยดึงศักยภาพของโครงสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA (Toyota New Global Architecture) ออกมาจนถึงขีดสุด
โดยท่ามกลางความสนุกเร้าใจของ “สมรรถนะ” แล้ว ยังมีจุดสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยที่ยกระดับความมั่นใจขึ้นไปอีกขั้นบนมาตรฐานระดับโลก Toyota Safety Sense ที่เพิ่มเติมเทคโนโลยีล้ำสมัยให้ Toyota Corolla Cross HEV GR Sport มีขีดความสามารถเทียบเท่ายนตรกรรมอเนกประสงค์แบรนด์หรู ภายใต้ราคาสุดคุ้มแถมยังได้มาซึ่งอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงแบบเหนือคาด ด้วยตัวเลขระดับ 23.3 กม./ลิตร เลยทีเดียว
Best Mid-Size Sedan Under 2,500 c.c.
Toyota Camry 2.5 Premium
เมื่อพูดถึง Toyota Camry หลายคนอาจจะเทใจไปให้รุ่นท็อปๆ อย่างขุมพลัง Hybrid เป็นหลัก แต่ถ้าหากใครยังหลงรักความ Original ในวิถี Old School เวอร์ชันท็อปสุดอย่าง Toyota Camry 2.5 Premium เครื่องยนต์เบนซิน น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกใจ เช่นเดียวกับคณะกรรมการที่เลือกเทคะแนนให้ ด้วยคุณสมบัติอันเหมาะสมกับรางวัล Best Mid-Size Sedan Under 2,500 c.c.
ซึ่งด้วยสถานะของ Toyota Camry 2.5 Premium บนตารางรุ่น ที่อยู่ในตำแหน่งท็อปสุดของเวอร์ชันเครื่องยนต์เบนซิน ฉะนั้น จึงมั่นใจได้ในเรื่องของออปชัน แต่อาจจะมีความ “ต่าง” ให้เห็นอยู่บ้างในรายละเอียดการตกแต่ง เช่น วัสดุโครเมียมที่หายไป และแทนที่ด้วยชุดท่อไอเสียคู่ เพื่อเพิ่มอารมณ์ความสปอร์ต และแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องของขุมพลัง
ขณะที่ภายในห้องโดยสาร ยังคงอยู่บนบรรทัดฐานของ Toyota Camry เจเนอเรชันปัจจุบัน พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่ยังคงอัดแน่น สำหรับการอำนวยความสะดวกสบาย … และแน่นอนว่า ด้วย “สถานะ” ของรุ่นย่อย ฉะนั้น จึงมีบ้างที่รายละเอียดของ “ออปชัน” จะมีความ “แตกต่าง” กัน รวมไปถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับโลก Toyota Safety Sense ที่อัปเกรดมาถึงเวอร์ชันล่าสุด
แต่ทั้งหมดทั้งมวล “ความต่าง” ที่ว่านั้น ก็เป็นเพียงส่วนประกอบเล็กน้อยเท่านั้น หากลองกางรายละเอียด “สเปก” เปรียบเทียบดู ด้วยเพราะอุปกรณ์มาตรฐานส่วนใหญ่ที่ติดตั้งมา อยู่ในระดับที่มากพอสำหรับตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุม
ส่วนไฮไลต์แท้จริงสำหรับผู้ชื่นชอบอารมณ์สไตล์ Old School พลาดไม่ได้กับความเร้าใจ ผ่านเสียงลากรอบเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร Dynamic Force รหัส A25A-FKB ไร้ระบบอัดอากาศ ที่พกพากำลังมาให้ใช้ถึง 209 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่เลือกอรรถรสความมันส์ในการขับขี่ได้ ทั้งจากแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift และโหมดการขับขี่ที่มีให้ 3 รูปแบบ คือ Eco, Normal และ Sport Mode ซึ่งนอกเหนือจากความเร้าใจแล้ว อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เคลมไว้ ถือว่าน่าสนใจทีเดียว กับตัวเลข 15.6 กม./ลิตร
การตอบสนองจากขุมพลัง ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สร้างอารมณ์สปอร์ตให้เด่นชัดเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงโครงสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA (Toyota New Global Architecture) ซึ่งมาพร้อมการปรับแต่งพวงมาลัย และช่วงล่างด้วยเช่นกัน ที่ทำให้ Toyota Camry 2.5 Premium เป็นยนตรกรรมที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคนชื่นชอบความมันส์ในการขับ และความประหยัดไม่ได้เป็นประเด็นหลัก ว่าต้องเทียบเท่ารุ่นเครื่องยนต์ Hybrid
Best Sport Coupe
Toyota GR Supra
การมาถึงของ Toyota 86 ดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวอะไรหลายอย่าง ซึ่งที่แน่ๆ เลยก็คือ การกลับมาของยนตรกรรมที่มีชื่อเสียงระดับ “ตำนาน” จาก Toyota กระทั่งในที่สุดก็สามารถมั่นใจในความคิดดังกล่าวได้ เมื่อกระสุนนัดที่ 2 ในชื่อ Toyota GR Supra ถูกยิงออกมาในราวปี 2019
“จากสนามแข่งสู่ท้องถนน” (From Circuit To Road) คือแนวคิดที่นำมาใช้ในการวางรากฐาน เพื่อพัฒนา Toyota GR Supra ที่เปี่ยมเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถสปอร์ตเต็มรูปแบบ ด้วยฐานะผลงานจาก Toyota Gazoo Racing แผนกมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกของ Toyota ที่ลงมือจัดการตั้งแต่องค์ประกอบต่างๆ เพื่อยกระดับสมรรถนะ เช่น มิติตัวรถ, ตำแหน่งของล้อ ตลอดจนตำแหน่งผู้ขับ เพื่อสร้างสรรค์รถสปอร์ตระดับสูง ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ดีที่สุดในการขับขี่
และนั่นก็คือ “อรรถรส” ที่ยากจะหาใครเทียบ ทั้งจากเบาะนั่งผู้ขับขี่ ไปจนถึงพวงมาลัย ซึ่งสื่อสารอารมณ์ความสปอร์ตออกมาให้สัมผัสทันทีที่เข้าประจำตำแหน่ง ก่อนจะพบเจอความเร้าใจแบบครบสูตร ผ่านศักยภาพของขุมพลังเบนซินขนาด 3.0 ลิตร 6 สูบ เสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo เรี่ยวแรง 387 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงด้านหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง โดยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Paddle Shift
ส่วนต่อมา คือโครงสร้างที่ประกอบขึ้นจากวัสดุน้ำหนักเบา แต่แข็งแกร่ง เพื่อช่วยลดการบิดของตัวถัง วางตัวบนฐานล้อที่กว้าง ผสมผสานด้วยจุดศูนย์ถ่วงต่ำ และสมดุลน้ำหนักหน้า-หลัง ในระดับ 50:50 พร้อมด้วยการติดตั้งช่วงล่างแบบ Adaptive Variable Suspension กับด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบมัลติลิงก์ ที่ได้รับการอัปเกรดขึ้นใหม่ เสริมด้วยชุดค้ำโช้ค และล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว โทนสีดำด้าน
ตัดกับชุดคาลิเปอร์เบรกโทนสีแดง พร้อมโลโก้ “Supra” ที่ไม่ต้องสาธยายมากมายก็รู้ได้ทันทีว่า นี่คือ ชุดเบรกสมรรถนะสูง สำหรับหยุดยั้งม้าฝูงใหญ่ เช่นเดียวกับระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในการซิ่ง Toyota GR Supra ได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์ จนได้มาซึ่งรางวัล Best Sport Coupe ในปีนี้ ด้วยความเหมาะสมที่สุด
Best 2WD Pickup Under 3,200 c.c.
Toyota Hilux Revo
Double Cab GR Sport 2.8 ขับเคลื่อน 2 ล้อ
อีกหนึ่งประเภทยนตรกรรมจากค่าย Toyota ที่อยู่คู่วิถีชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนานก็คือ “รถปิกอัพ” ซึ่งทุกครั้งที่มีการมาถึงของรุ่นใหม่ๆ ก็มักจะมีเซอร์ไพรส์มาเอาใจผู้บริโภคเสมอ เช่น ตระกูล Toyota Hilux ที่ครองใจผู้ใช้ยาวนาน จนได้รับการขนานนามว่า “ปิกอัพมหาชน” ต่อเนื่องมาจนถึงโมเดลล่าสุด Toyota Hilux Revo
ซึ่งจุดเด่นหลักๆ ต้องยกให้กับความหลากหลายของรุ่นย่อย และระดับราคา ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างทั่วถึง ทั้งยังรวมไปถึงเวอร์ชันสปอร์ตต่างๆ เช่น ล่าสุดที่ได้เติมเต็ม DNA แห่ง Gazoo Racing สายมอเตอร์สปอร์ตเข้าไป จนได้มาเป็น Toyota Hilux Revo Double Cab GR-Sport 2.8 ขับเคลื่อน 2 ล้อ ที่เปี่ยมด้วยความเร้าใจในทุกมุมมอง ผสานเข้ากับขีดสุดแห่งสมรรถนะ จนคณะกรรมการCar of The Year 2022 ต้องยอมเทคะแนนให้อย่างปฏิเสธไม่ได้
โดยความพิเศษของเวอร์ชัน GR Sport ก็คือ สไตล์การดีไซน์ที่ถูกอัปเกรดตามหลักอากาศพลศาสตร์โดยทีมแข่งระดับโลก Toyota Gazoo Racing ภายใต้แรงบันดาลใจที่มาจากการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ รายการ Super GT (Grand Touring) ซึ่งผสมผสานระหว่างฟังก์ชันการใช้งาน และรูปลักษณ์
มากไปกว่านั้น จุดสำคัญที่ทำให้หลายคนต่างชื่นชม ต้องยกให้กับการปรับปรุงสมรรถนะ ที่ตอบสนองการขับขี่อย่างสะใจ จากพื้นฐานจากเครื่องยนต์ดีเซล GD Super Power พิกัด 2.8 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่พัฒนาจนได้กำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มาพร้อมการเพิ่มความเร้าใจด้วย Sequential Shift และ Paddle Shift
ทั้งยังขยายขีดความสามารถในการขับขี่ จากระบบช่วงล่างใหม่ ให้มีความสูงที่ลดลงอีก 23 มม. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว
และการยึดเกาะถนน บนพื้นฐานแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลงในด้านหน้า โดยมีด้านหลังเป็นแบบแหนบซ้อน พร้อมโช๊คอัพช๊อคแอบซอร์บเบอร์ที่ออกแบบพิเศษสำหรับเวอร์ชัน GR Sportเช่นเดียวกับระบบเบรกหน้าแบบดิสก์ จับคู่คาลิเปอร์โทนสีแดง ประทับตราสัญลักษณ์ GR อันโดดเด่น
และจากองค์ประกอบที่กล่าวมาของ Toyota Hilux Revo Double Cab GR-Sport 2.8 ขับเคลื่อน 2 ล้อ ทำให้อารมณ์ของการ
ขับในภาพรวม มีความต่างจากรุ่นพื้นฐานอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบนสนามทดสอบที่ต้องอาศัยศักยภาพมากกว่าปกติ ก่อนจะจบการทำข้อสอบไปอย่างสบายๆ
อีกทั้งเมื่อนำขีดความสามารถ มาประกอบกับราคา และออปชันมาตรฐาน…ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นที่ “คุ้มค่า” มากพอ สำหรับตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสะดวกสบาย และความมั่นใจต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเหมาะสมจะเป็นที่สุดในปีนี้ ไปด้วยรางวัลการันตี คือ Best 2WD Pickup Under
3,200 c.c.
Best Diesel 4WD PPV Under 3,200 c.c.
Toyota Fortuner GR-Sport
และถ้าพูดถึงโมเดล GR Sport แล้ว คงอดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงอีกหนึ่งความยอดเยี่ยมอันสมบูรณ์แบบหนึ่งเดียวในรุ่น เจ้าของรางวัล Best Diesel 4WD PPV Under 3,200 c.c. ปีนี้ นั่นคือ Toyota Fortuner GR-Sport ยนตรกรรมอเนกประสงค์ยอดนิยม ที่มากับการต่อยอดความเร้าใจขึ้นไปอีกระดับด้วย DNA แห่งมอเตอร์สปอร์ตจาก Toyota Gazoo Racing
โดยใจความสำคัญของการก้าวไปสู่ความเหมาะสมกับรางวัล ก็คือ รายละเอียดที่ชัดเจนของความเป็น Sport Premium PPV ซึ่งตั้งแต่รูปลักษณ์สะดุดตา เช่น กันชนหน้าพร้อมชุดตกแต่งสีดำเงา, ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สีพิเศษเฉพาะ GR Sport และสปอยเลอร์หลังดีไซน์ใหม่ ขณะที่ภายในแสดงตัวตน GR Sport ผ่านการเลือกใช้โทนสีดำสลับแดง เช่น เบาะนั่ง Suede แบบเจาะรู เดินด้ายตกแต่งสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR, พวงมาลัยหุ้มหนัง Soft Touch ตกแต่ง Center mark และเดินด้ายสีแดง สลับสี Smoke Silver พร้อมสัญลักษณ์ GR
ทั้งยังมีการใช้แถบสี Smoke Silver และโครเมียม เข้ามาตกแต่งร่วมกับโทนสีดำเดินด้ายแดง ในส่วนของแผงคอนโซลหน้า, ช่องปรับอากาศด้านหน้า, แผงประตู, หัวเกียร์ที่มาพร้อมฐานลายคาร์บอนไฟเบอร์ และกล่องเก็บของ เสริมด้วยแป้นคันเร่ง และเบรกสไตล์สปอร์ต ลงตัวกับพรมรองพื้นดีไซน์เฉพาะ เช่นเดียวกับกุญแจรีโมท Smart Key และระบสตาร์ทอัจฉริยะ ที่ประทับสัญลักษณ์ GR Sport
ประเด็น คือ การตกแต่งที่กล่าวมาจะขาดความน่าสนใจไปทันที หากไม่มี “สมรรถนะ” เป็นแรงจูงใจ ถึงแม้จะยังขับเคลื่อนด้วย
ขุมพลังดีเซล GD Super Power พิกัด 2.8 ลิตร พร้อม VN Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ที่มีกำลังถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500
นิวตันเมตร ส่งกำลังชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift
แต่ด้วยการปรับแต่งเฉพาะสำหรับเวอร์ชัน GR Sport ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้สมรรถนะการขับเคลื่อนถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น จากระบบช่วงล่างที่อัปเกรดใหม่ ด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ (Double Wishbone) และด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ซึ่งมากับโช้คอัพแบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber)
ตลอดจนระบบเบรกแบบดิสก์ 4 ล้อ พร้อมคาลิเปอร์สีแดง ประทับสัญลักษณ์ GR เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นใจ ร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ปรับเปลี่ยนได้ 3 โหมดการขับเคลื่อน ทั้ง 2H, 4H และ 4L เพื่อรองรับทุกสถานการณ์การขับขี่ เช่นเดียวกับระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก Toyota Safety Sense
ส่วนความเหมาะสมที่มีต่อรางวัล Best Diesel 4WD PPV Under 3,200 c.c. แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องออปชัน และสมรรถนะ
ขณะที่ “ราคา” ถ้ามองพุ่งเป้าไปตรงๆ คงอาจจะคิดว่า “แรง” ไปนิด เว้นแต่ถ้ามองในภาพกว้างเทียบกับ Fortuner เครื่องยนต์ 2.8
ลิตร รุ่นท็อป จะพบว่าส่วนต่างจากเวอร์ชัน GR Sport มีอยู่ราวๆ “หลักหมื่น” เท่านั้น เพื่อแลกกับสิ่งที่ได้มา คือ เอกลักษณ์เฉพาะตัว
ที่ชัดเจนไม่เหมือนใคร ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจจากคณะกรรมการที่ทำให้รางวัลนี้ตกเป็นของ Toyota Fortuner GR-Sport
Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c.
Toyota Hilux Revo 2.8 GD Super Power
เป็นอีกหนึ่งปีแห่งการเฉลิมฉลองของ Toyota Hilux Revo ที่ยังคงทำสถิติครองรางวัล Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c. อย่างเหนียวแน่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี ขุมพลังดีเซล คอมมอนเรล เจเนอเรชันที่ 2 ในชื่อ GD Super Power ใหม่ ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องพละกำลังและความประหยัดสูงสุด
โดยเฉพาะในรุ่นเครื่องยนต์ขนาด 2.8 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุด 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ผ่านการอัปเกรดขึ้นใหม่ จากการเปลี่ยนไปใช้เทอร์โบแปรผันที่ใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยให้อัดอากาศได้มาก สำหรับการสร้างความแรงที่ต่อเนื่อง และการตอบสนองดีเยี่ยมทุกย่านความเร็ว
เสริมด้วยเทคโนโลยี i-ART เข้ามาทำหน้าที่ควบคุมการฉีดน้ำมันอัจฉริยะอย่างอิสระและแม่นยำ โดยใช้ระบบเซ็นเซอร์คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกับปั๊มคอมมอนเรลแรงดันสูง 250 MPa เพื่อช่วยให้น้ำมันเป็นละอองฝอยละเอียด เผาไหม้หมดจด และให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่โดดเด่น นอกจากจะยืนยันด้วยตัวเลขค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองราว 13.3-14.3 กม./ลิตร บน Eco Sticker
Best Selling Brand & Best Export Brand
Toyota
สุดท้าย และท้ายสุดกับ 2 รางวัลแห่งความภาคภูมิใจที่ยังคงถูกจับจอง ครองตำแหน่งไว้อย่างต่อเนื่องอีกครั้งในปีนี้ ก็คือ Best Selling Brand และ Best Export Brand ซึ่งตอกย้ำฐานะผู้นำของแบรนด์ Toyota โดย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด อย่างชัดเจน แม้วิกฤติ COVID-19 จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่องก็ตาม
แต่จากจำนวนยอดการผลิตรถยนต์ในปี พ.ศ. 2564 ทั้งสำหรับ “การขายภายในประเทศ และการส่งออก” ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 514,000 คัน (เพิ่มขึ้น 16.1%) ได้กลายเป็นสิ่งยืนยันความสำเร็จในการถือครองความเป็นผู้นำอันเหมาะสมกับรางวัล Best Selling Brand ผ่านผลประกอบการยอดขายรวม 239,723 คัน (ลดลง 1.9%)
โดยมีการแบ่งประเภทออกเป็น รถยนต์นั่ง 62,403 คัน (ลดลง 8.4%) เช่นเดียวกับรถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) ซึ่งมียอดขายอยู่ที่ 128,639 คัน (ลดลง 1.0%) ขณะเดียวกันก็มีสัญญาณแนวโน้มดีขึ้น ในส่วนของรถเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งมียอดขาย 177,320 คัน (เพิ่มขึ้น 0.7%) ตามด้วยในกลุ่มของรถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ที่มียอดขาย 151,501 คัน (เพิ่มขึ้นถึง 1.2%)
เมื่อเทียบกับภาพรวมด้านยอดขายปี พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 31.6% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งแม้จะต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ก็เห็นได้ว่ามีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น เพราะส่วนหนึ่งจากการพัฒนาและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ที่สามารถเป็นตัวเลือกในการตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น
ส่วน Best Export Brand คืออีกหนึ่งรางวัลการันตีความสำเร็จ ในผลงานการ “ส่งออก” ของปี พ.ศ. 2564 ที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ปิดท้ายไปด้วยตัวเลขสวยๆ ของจำนวนยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปราว 292,000 คัน (เพิ่มขึ้น 35.5%) เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา
ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยความมุ่งมั่นเพื่อรักษาความเป็น “ผู้นำ” ของ “การขายภายในประเทศ และการส่งออก” จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ พ.ศ. 2565 ถึง 647,000 คัน ซึ่งต้องมาติดตามชมกันว่าจะทำได้หรือไม่?…เพื่อการรักษาตำแหน่งผู้นำ และรางวัลเอาไว้อีกครั้งในฤดูกาลหน้า