TOYOTA : CAR OF THE YEAR 2024
Best Sedan Under 1,300 c.c.
TOYOTA YARIS ATIV
“นี่แหละ..รถของเรา”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การมาถึงของ TOYOTA YARIS ATIV คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเฉียบขาดด้านวิสัยทัศน์ของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการนำเสนอความ“คุ้มค่า” อย่างเป็นรูปธรรม อันเป็นผลสำเร็จจากการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริงในทุกๆ ด้าน
เริ่มจากรูปลักษณ์ที่มากับตัวถังสไตล์ Fastbackและออปชันที่เพียบพร้อม เช่น ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Full LED พร้อม LED Light Guiding และไฟเลี้ยวด้านท้าย LED แบบ Sequential ใหม่ไปจนถึงล้ออัลลอยแบบทูโทน ขนาด 16 นิ้วส่วนดีไซน์ภายใน เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ และยกระดับคุณภาพของรถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่างแท้จริง จากการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ บนงานดีไซน์เรียบหรูทั้งยังล้ำสมัยกว่าใคร ด้วยการติดตั้งเบรกมือไฟฟ้าEPB และไฟ Ambient light สร้างบรรยากาศ
ในห้องโดยสาร ซึ่งสามารถปรับได้ถึง 64 เฉดสีรวมถึงชุดมาตรวัดแบบ Full Digital และออปชันมาตรฐานอีกมากมาย ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน ทั้งยังมีภายในโทนสีแดงให้เลือกอีกด้วย
สมรรถนะ เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจ ด้วยเครื่องยนต์ Dual VVT-iE ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 94 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Sequential Shift และโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ถึง 3 รูปแบบ คือ Eco, Normal และ Sport ทั้งยังมีอัตราการใช้นํ้ามัน 23.3 กม./ลิตร
เหนืออื่นใด คือระบบความปลอดภัยมาตรฐานที่นอกจากครบถ้วนด้วย Active Safety และPassive Safety แล้ว ยังได้เพิ่มเติมความล้ำหน้าของระบบ Toyota Safety Sense เข้าไปอีกเช่นกัน โดยจะประกอบด้วย ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams), ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยดึงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert), ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-CollisionSystem), ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งแบบผิดวิธี (Pedal Misoperation Control), ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว (Front DepartureAlert) ตลอดจนระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ All-Speed (All-Speed Adaptive CruiseControl) ลำโพง Pioneer 6 ตำแหน่ง หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
และท้ายสุดกับการตอกย้ำความ “คุ้มค่า” ให้โดดเด่นเหนือใคร ด้วย “ราคา” ที่หากรวมกับผลลัพธ์ขีดความสามารถจากสถานีทดสอบในงาน Thailand Car of The Year 2024 แล้ว ก็คงยากที่จะมีใครเหมาะสมกับรางวัล Best Sedan Under 1,300 c.c. ได้เท่ากับ TOYOTA YARIS ATIV แน่นอน
Best Hatchback Under 1,300 c.c.
TOYOTA YARIS Hatchback
“เปิดโลกใหม่ได้อีกเยอะ”
ไม่ใช่แค่ TOYOTA YARIS ATIV เท่านั้นที่สร้างมาตรฐานยอดเยี่ยม จนคว้ารางวัลจาก Thailand Car of The Year 2024 ไปครองแต่ยังรวมถึง TOYOTA YARIS Hatchback เวอร์ชัน 5 ประตู รุ่นปรับโฉมใหม่อีกด้วย ที่มากับมาตรฐานเดียวกัน กับ 3 ส่วนหลักในการพัฒนา
เริ่มจากการปรับงานออกแบบภายนอก ในธีมการออกแบบ Refined & Energetic เพื่อสร้างความรู้สึกปราดเปรียวน่าขับขี่ เช่น Hammerhead
Design เทรนด์ใหม่ล่าสุดของโตโยต้า, พร้อม Daytime Running Light ดีไซน์แบบ Secondary Illumination ที่ทำให้รู้สึกพุ่งทะยาน ตามด้วยกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ แบบ Diffuser Style ตกแต่งด้วยลาย Carbon Fiberสร้างความโดดเด่น และมีเอกลักษณ์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สีภายนอกใหม่ Cement Gray Metallic สไตล์ทูโทน รับกับดีไซน์ภายในห้องโดยสารที่เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง ในส่วนของเบาะนั่ง มาพร้อมโทนสีที่หลากหลาย เช่น สีน้ำตาล Orchid Brown สลับกับสีดำ หรือสีน้ำตาลอ่อน Accent Ribbon ที่ให้ความรู้สึกเรียบหรู
ส่วนต่อมาคือฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกสบายและปลอดภัย ซึ่ง TOYOTA YARIS Hatchback มีมาให้อย่างครบครัน เช่น ไฟหน้าแบบ Projector LED, Daytime Running Light ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว, เสาอากาศแบบครีบฉลาม, แตร Trumpet Horn, หน้าจอแบบสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว และช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าแบบ USB Type C สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
ขณะที่ระบบความปลอดภัย เติมเต็มความมั่นใจด้วยมาตรฐานระดับโลก ซึ่งประกอบด้วยระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Monitor (BSM), ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง Rear cross-Traffic Alert (RCTA) กล้องมองรอบคัน (PVM) กระจกมองหลังตัดแสง
อัตโนมัติ ระบบปัดนํ้าฝนอัตโนมัติ
ทั้งยังมีอัตราการใช้นํ้ามัน 23.3 กม./ลิตร TOYOTA YARIS Hatchback ยังคงมากับสมรรถนะการขับขี่ที่โดดเด่น ผ่านเครื่องยนต์ Dual VVT-iE ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 92 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 109 นิวตันเมตร โดยมีชุดเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Shift Lock พร้อมพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS และระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีมคอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
ทั้งหมดทั้งมวล เพื่อนำเสนอทั้งความสนุกสนานในการขับขี่ ควบคู่ไปกับอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ยังคงน่าประทับใจ
Best Mid-size Sedan Under 2,500 c.c.
TOYOTA CAMRY Premium
สำหรับรางวัล Best Mid-size Sedan Under 2,500 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2024 ปีนี้ “The New CAMRY… The Absolute
Perfection ความสมบูรณ์แบบที่เป็นคุณ” เวอร์ชันปรับโฉมใหม่ในรุ่นย่อย Premium คือยนตรกรรมที่คว้ารางวัลไปอย่างสวยงาม
ด้วยผลงานการอัปเกรดสู่ความสมบูรณ์แบบ จากแนวคิดการดีไซน์ที่ผสมผสานความหรูหรา และสปอร์ตอย่างลงตัว เช่น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ รับกับคิ้วโครเมียม และชุดไฟหน้าที่โฉบเฉี่ยว พร้อมด้วยการปรับดีไซน์ และเพิ่มขนาดล้ออัลลอยให้ใหญ่ขึ้นเป็น 18 นิ้ว
ขณะที่ภายในห้องโดยสารมากับงานออกแบบที่ประณีต เช่น วัสดุตกแต่งลายไม้แบบใหม่, วัสดุหุ้มเบาะนั่งหนังแท้ และหนังสังเคราะห์แบบนุ่มพิเศษ ที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน พร้อมด้วยออปชันสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งานอย่างไร้ที่ติ อาทิ พวงมาลัยไฟฟ้า เบาะนั่งที่สามารถบันทึกตำแหน่งผู้ขับขี่ได้ โดยตำแหน่งเบาะนั่งคู่หน้า Ventilator จะมากับพัดลมใต้เบาะ และพนักพิงที่ให้ความรู้สึกพรีเมียม พร้อมด้วยเบาะนั่ง ด้านหลังปรับไฟฟ้า มากับแผงควบคุมหน้าจอสัมผัสแบบดิจิทัลที่คอนโซลด้านหลัง และหน้าจอ แบบ Floating Type แบบใหม่ ขนาดใหญ่ขึ้นถึง 9 นิ้ว ซึ่งเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto
อีกหนึ่งจุดเด่นที่คณะกรรมการยอมรับ คือ สมรรถนะอันยอดเยี่ยม ที่ประกอบด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมยานยนต์ TNGA ที่ช่วยสร้างความมั่นใจในทุกการขับขี่ ผสมผสานเข้ากับความทรงพลังของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร Dynamic Force ที่มีกำลังสูงสุดถึง 209 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ตอบสนองได้ฉับไว และเหนื่ออื่นใด คือการคงไว้ซึ่งอัตราประหยัดน้ำมันอันน่าประทับใจถึง 15.6 กิโลเมตร/ลิตร
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก Toyota Safety Sense เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันอุบัติเหตุมากขึ้น ผ่านระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) แบบใหม่ ที่ตรวจจับคนเดินเท้า และคนขี่จักรยาน เพื่อช่วยเตือน และช่วยเบรกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) แบบ All-Speed ที่สามารถลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่ง
ตลอดจนระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน และช่วยลดความเร็วขณะเข้าโค้ง (Curve Speed Reduction) เพิ่มเติมด้วยระบบใหม่ ช่วยเตือนการชนด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติขณะถอยรถ (Intelligent Clearance Sonar with Rear Cross Traffic Braking) ใหม่ รวมไปถึงติดตั้งกล้องมองรอบคัน 360 องศา (Panoramic View Monitor) ใหม่มาให้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยรอบด้าน เพิ่มความอุ่นใจในการจอดรถ หรือถอยออกจากช่องจอดได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
Best Mid-size Hybrid Sedan Under 2,500 c.c.
TOYOTA CAMRY 2.5 HEV Premium
หาก TOYOTA CAMRY Premium คว้ารางวัล Best Mid-size Sedan Under 2,500 c.c. ไปครองอย่างสมฐานะ เพราะฉะนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า TOYOTA CAMRY 2.5 HEV Premium ขุมพลังไฮบริด จะเป็นอีกหนึ่งที่มีคุณสมบัติความยอดเยี่ยม จนคว้ารางวัล Best Mid-size Hybrid Sedan Under 2,500 c.c. อย่างต่อเนื่องไปอีกครั้งเช่นกัน
TOYOTA CAMRY 2.5 HEV Premium ยังคงมากับแนวคิด “The New CAMRY… The Absolute Perfection ความสมบูรณ์แบบที่เป็นคุณ” นำเสนอความโดดเด่นผ่านงานดีไซน์ที่นำเอาความสปอร์ต และความหรูหรามาผสมผสานกันอย่างลงตัว ประกอบด้วย ชุดกระจังหน้าออกแบบใหม่
ตกแต่งด้วยคิ้วโครเมียม ประกบด้วยชุดไฟหน้า ดีไซน์เฉี่ยว ก่อนปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 18 นิ้ว
ภายในห้องโดยสาร เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญตั้งแต่การออกแบบสุดประณีต ควบคู่ไปกับการเลือกใช้วัสดุตกแต่ง เช่น ลายไม้แบบใหม่, หนังแท้ และหนังสังเคราะห์แบบนุ่มพิเศษที่ตัดเย็บอย่างพิถีพิถันในส่วนของเบาะนั่ง ทั้งยังติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายมาอย่างครบครัน เช่น พวงมาลัยไฟฟ้า, เบาะนั่งพร้อมหน่วยความจำตำแหน่งผู้ขับขี่ เสริมด้วยการติดตั้งพัดลมใต้เบาะนั่งคู่หน้า และออกแบบพนักพิงให้มีความรู้สึกพรีเมียมขึ้นอีกระดับขณะที่เบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับไฟฟ้าโดยจะมากับแผงควบคุมหน้าจอสัมผัสแบบดิจิทัลที่คอนโซลด้านหลัง พร้อมหน้าจอแบบ Floating Type แบบใหม่ ขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto
ระบบความปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ ด้วยมาตรฐานระดับโลก Toyota Safety Sense ที่อัปเกรดสู่เวอร์ชันใหม่ล่าสุด เพื่อช่วยเพิ่มขีด ความสามารถในการป้องกันอุบัติเหตุมากขึ้น ประกอบด้วย ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) แบบใหม่ ที่ตรวจจับได้
ทั้งคนเดินเท้า และคนขี่จักรยาน เพื่อช่วยเตือนและช่วยเบรกอย่างมีประสิทธิภาพ, ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar
Cruise Control) แบบ All-Speed ที่สามารถลดความเร็วได้จนถึงจุดหยุดนิ่ง, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน และช่วยลดความเร็วขณะ
เข้าโค้ง (Curve Speed Reduction)
ทั้งยังได้รับการติดตั้งระบบใหม่ ช่วยเตือนการชนด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมระบบช่วยเบรกอัตโนมัติขณะถอยรถ (Intelligent Clearance Sonar with Rear Cross Traffic Braking) ใหม่ และกล้องมองรอบคัน 360 องศา (Panoramic View Monitor) ใหม่ มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อช่วยเพิ่มทัศนวิสัยรอบด้านให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ
และใช้สมรรถนะอย่างเต็มประสิทธิภาพ ขุมพลังไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 ซึ่งประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร Dynamic Force กำลังสูงสุด 178 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 88 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิดสูงสุด 202 นิวตันเมตรรวม 2 ระบบ สร้างพละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 211 แรงม้า นอกจากมอบความเร้าใจในการขับขี่แล้ว อีกไฮไลต์ที่ชนะใจคณะกรรมการ
ไปด้วย ก็คืออัตราสิ้นเปลืองที่ยอดเยี่ยมในระดับ 23.8 กิโลเมตร/ลิตร เช่นกัน
Best Hybrid SUV Under 1,500 c.c.
TOYOTA YARIS Cross
เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ก็สามารถชนะใจ คณะกรรมการจนคว้ารางวัล Best Hybrid SUV Under 1,500 c.c ไปอย่างสวยงามด้วยคุณสมบัติของ TOYOTA YARIS Cross ยนตรกรรม SUV ไฮบริดใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานการใช้งานแบบ “Urban x Adventure” ที่พร้อมตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ ผ่านงานดีไซน์ภายนอกแบบ Solid x Dynamic สะท้อนความแข็งแรง ทรงพลัง
ผสานด้วยความทันสมัยของเส้นสาย สะท้อนภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ เสริมออปชันล้ำสมัย อาทิ ไฟหน้า และ ไฟท้าย Full LED, ไฟ Daytime Running Light และ ไฟตัดหมอกหน้า LED ที่มาพร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อม Follow-Me-Home
ภายในห้องโดยสารเน้นความกว้างขวาง เสริมความสปอร์ตด้วยงานดีไซน์ฝั่งผู้ขับขี่แบบ Driver-Oriented Cockpit ตามด้วยความพรีเมียมจากวัสดุตกแต่งและวัสดุหุ้มเบาะนั่งคู่หน้าที่มากับเทคโนโลยี Quole Module® ที่ช่วยลดการสะสมความร้อน ตลอดจนไฟสร้างบรรยากาศที่ปรับได้ถึง 14 เฉดสีปรับความสว่างได้ 4 ระดับ
อีกทั้งยังมาพร้อมกับออปชันอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ระบบ Push Start & Smart Entry, หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้วรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay & Android Auto แบบไร้สาย ตลอดจนอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง,ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมตัวกรองฝุ่น PM 2.5 ตลอดจนเบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อมระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH
มั่นใจด้วยระบบความปลอดภัยครบครันทั้งความปลอดภัยพื้นฐาน ถุงลมเสริมความปลอดถัย6 ตำแหน่ง และเสริมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอย่าง ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSM และ ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA,กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor พร้อมสัญญาณเตือนกะระยะหน้า-หลัง 4 จุด และความปลอดภัยใตรฐานระดับโลกอย่างToyota SafetySense ที่มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ACC แบบ All-Speed ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว และ ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งผิดวิธี
TOYOTA YARIS Cross แสดงความเหนือชั้นด้วยขุมพลังไฮบริดจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 121 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 80 แรงม้าพร้อมแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร รวมกำลังสูงสุดทั้ง 2 ระบบอยู่ที่ 111 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ e-CVT เพื่อสร้างสมรรถนะน่าประทับใจ ควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมกับความประหยัดน้ำมันที่สุด ด้วยตัวเลขระดับ 26.3 กม./ลิตร
Best Hybrid SUV Under 1,800 c.c.
TOYOTA COROLLA Cross GR Sport
ต่อเนื่องด้วยหนึ่งในยนตรกรรมอเนกประสงค์ SUV ที่เหมาะสมกับรางวัล Best Hybrid SUV Under 1,800 c.c.อย่างที่สุด TOYOTA COROLLA Cross GR Sport
โดยในรุ่นย่อย GR Sport จะมาพร้อมกับความดุดันสไตล์ Gazoo Racing ด้วยชุดแต่งรอบคัน และตราสัญลักษณ์ GR Sport เพื่อแสดงออกถึงความเร้าใจที่มากขึ้นไปอีกระดับ ทั้งยังมาพร้อมกับออปชันอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารที่ครบเครื่อง เช่น ระบบ
ปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิ ซ้าย-ขวา อิสระ
ส่วนเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่ติดตั้ง มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน คือ สิ่งที่สร้างความเหนือชั้นกว่า กับระบบ Toyota Safety Sense ที่มาพร้อมกับ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM และช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบแจ้งเตือนเมื่อลมยางผิดปกติ Tire Pressure Monitoring System, กล้องมองรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM) 360° View
ในส่วนของสมรรถนะการขับขี่ TOYOTA COROLLA Cross GR Sport ยังคงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า และอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.3 กม./ลิตรพร้อมความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 98 กรัม/กิโลเมตรเท่านั้น
Best 2WD Pickup Under 3,200 c.c.
TOYOTA HILUX REVO
Standard Cab 4×2 2.8 Entry
ในส่วนของรางวัล Best 2WD Pickup Under 3,200 c.c. กระบะพันธุ์แกร่ง TOYOTA HILUX REVO Standard Cab 4×2 2.8 Entry คือยนตรกรรมที่ปฎิเสธไม่ได้ ถึงความเหมาะสมอย่างที่สุด จากคุณสมบัติที่เหนือชั้น ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะออปชันที่ถูกติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ประเด็นสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นและความประทับใจมาโดยตลอด คือ ศักยภาพของเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจ็คชั่น
รหัส 1GD-FTV (High) ขนาด 2.8 ลิตร แบบ4 สูบ 16 วาล์ว เสริมตัวช่วยด้วยหัวฉีดแบบ i-ART, ระบบอัดอากาศ VN Turbo และระบบระบายความร้อน Intercooler ร่วมกันสร้างสรรค์พละกำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ในรอบต่ำเพียง 1,400 รอบต่อนาที ไปจนถึง 3,400 รอบต่อนาที
ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด สู่ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง และรองรับด้วยระบบช่วงล่าง ด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง จับคู่กับด้านหลังแบบแหนบซ้อน และล้ออัลลอยกระทะเหล็ก ขนาด 15 นิ้ว พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานแบบครบครัน ที่สร้างความมั่นใจให้คณะกรรรมการเห็นภาพที่ชัดเจนในความคุ้มค่าและเหมาะสม จนต้องยกรางวัล Best 2WD Pickup Under 3,200 c.c. ให้กับ TOYOTAHILUX REVO Standard Cab 4×2 2.8 Entry
Best 4WD Pickup Under 2,800 c.c.
TOYOTA HILUX REVO Rocco 2.8
ที่สุดแห่งความทรงพลัง เจ้าของรางวัล Best 4WD Pickup Under 2,800 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2024 ต้องยก
ให้กับ TOYOTA HILUX REVO 2.8 Rocco ที่ นำเสนอความแข็งแกร่งออกมาได้อย่างเด่นชัดตั้งแต่งานดีไซน์ เพื่อปูทางไปสู่ “สมรรถนะ”อันดุเดือด
จากเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล 1GD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว ขนาด 2.8 ลิตร เสริมแรงด้วยระบบอัดอากาศ VN Turbo และ Intercooler สร้างกำลังสูงสุด 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,600-2,800 รอบต่อนาทีโดยมีระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift รับหน้าที่ถ่ายทอดเรี่ยวแรงสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งมาพร้อม Differential Lock ที่เฟืองท้าย และโหมดการขับเคลื่อนที่ปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ ประกอบด้วย
การขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H), การขับเคลื่อน 4 ล้อ
ความเร็วสูง (4H) และการขับเคลื่อน 4 ล้อ
ความเร็วต่ำ (4L) พร้อมระบบช่วงล่างด้านหน้า
แบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบแหนบซ้อนที่ปรับเซตขึ้นมาเพื่อมอบความเร้าใจในการขับขี่ได้อย่างเต็มสมรรถนะ บนพื้นฐานความมั่นใจจากระบบความปลอดภัยที่แน่นหนา และครอบคลุมจนกลายเป็นที่สุดแห่งปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ
Best Diesel 4WD PPV Under 3,200 c.c.
TOYOTA FORTUNER GR Sport 4WD
เรียกว่ายังคงครองบัลลังก์ อย่างไม่มีใครสามารถโค่นได้เลยทีเดียว กับคุณสมบัติที่ยากจะปฏิเสธของ TOYOTA FORTUNER GR Sport ที่เหมาะสมกับรางวัล Best Diesel 4WD PPV Under 3,200 c.c ไล่เรียงมาตั้งแต่งานดีไซน์เฉพาะตัวจาก DNA แห่ง Toyota Gazoo Racing
ต่อเนื่องถึงเรื่องราวของสมรรถนะ โดยเครื่องยนต์รหัส 1GD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC ที่มาพร้อม VN Turbo
และ Intercooler เพื่อสร้างพละกำลังระดับ 224 แรงม้า พร้อมแรงบิด 550 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่เลือกเพิ่มเติมความดุเดือดในการขับขี่ได้ จากทั้งระบบ Sequential Shift และ Paddle Shift หลังพวงมาลัย รวมถึงการปรับเซตช่วงล่างใหม่ สไตล์ GR Sport จากพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง และโช้คอัพแบบ Monotube จับคู่กับด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง และโช้คอัพแบบ Monotube เช่นกัน
ก่อนปิดท้ายความสปอร์ตด้วยล้ออัลลอยที่มากับขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้ว และสิ่งที่สร้างความมั่นใจในการขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์ กับระบบ
ความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกที่ครบครัน ซึ่งทั้งหมดนั้นมากพอที่จะส่งให้ TOYOTA FORTUNER GR Sport สามารถครองรางวัล
ไปอย่างสวยงามอีกครั้งในปีนี้
The Best Innovation Pickup
TOYOTA HILUX Champ
และหากกล่าวถึงความเหมาะสม คงไม่มีใครปฏิเสธได้กับเจ้าของรางวัล The Best Innovation Pickup ที่ถูกคว้าไปโดย TOYOTA HILUX Champ ที่มาพร้อมคุณสมบัติโดดเด่น ซึ่งประกอบด้วย “Affordable Price” ราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย
“Business-Focused” ครอบคลุมธุรกิจทุกรูปแบบด้วยทางเลือกรุ่นย่อยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฐานล้อที่มีทั้งช่วงสั้น “Short Wheel Base” และช่วงยาว “Long Wheel Base” ด้วย 2 รูปแบบการบรรทุก ทั้งกระบะท้ายเรียบที่เปิดได้ถึง 3 ทาง และมีขนาดความจุมากที่สุดหากเทียบกับคู่แข่งในตลาด หรือไม่มีกระบะท้าย รวมไปถึงเครื่องยนต์ ที่มีถึง 3 ขนาด คือ ดีเซล 2.4 ลิตร, เบนซิน 2.0 ลิตร และเบนซิน 2.7 ลิตร ตลอดจนมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift ให้เลือก
ต่อมา “Compact Pickup” ขนาดกะทัดรัด คล่องตัว ด้วยรัศมีวงเลี้ยวที่แคบเทียบเท่ารถยนต์นั่งขนาดเล็ก ตามมาด้วย “Durability” ความทนทานที่เกิดขึ้นจากการใช้พื้นฐานโครงสร้าง และเครื่องยนต์เดียวกับ HILUX REVO และท้ายสุด“Easy for Conversion” ความง่ายต่อการดัดแปลงซึ่งเป็นจุดขายหลักที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถลดต้นทุน และเวลาการดัดแปลง เพราะโครงสร้างแบบ “Monozukuri” นั้น มีการออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อผู้ประกอบการ เช่น การเตรียมพื้นที่สำหรับเจาะไว้ตามจุดต่างๆ หรือชุดกันชนที่สามารถถอดแยกชิ้นเปลี่ยนได้ ซึ่งนั่นช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องการซ่อมบำรุงได้มาก และไม่ใช่แค่ภาคธุรกิจเท่านั้น หากแต่ยังรวมถึงการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้หลากหลายด้วยเช่นกัน
ซึ่งนั่นคือทั้งหมดของความล้ำสมัยสุดคุ้มค่า ที่ TOYOTA HILUX Champ มอบให้ ในราคาตั้งแต่ 459,000-577,000 บาทเท่านั้น
Best Export Brand & Best Selling Brand
TOYOTA
รางวัล Best Export Brand และรางวัล Best Selling Brand คือ 2 รางวัล ซึ่งไม่มีใครเหมาะสมไปกว่า TOYOTA แม้ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จะยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว แต่ TOYOTA ก็ยังคงครองตำแหน่งผู้นำเอาไว้ได้ ด้วยยอดขายของในปี 2566
ซึ่งมียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 265,949 คัน หรือลดลงราวๆ 8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
แต่ประเด็นสำคัญ คือ TOYOTA ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 34.3% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์นั่งของ TOYOTA ที่เติบโตสูงขึ้นจากปีที่แล้ว อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในกลุ่ม Eco Car ที่ยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ได้อย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จด้านยอดขายของ Yaris ATIV ตลอดจนรุ่นใหม่อย่าง Yaris Cross ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
โดยเมื่อแยกย่อยประเภท เทียบกับปี 2565 “รถยนต์นั่ง” จาก TOYOTA สามารถทำยอดจำหน่ายได้ถึง 99,292 คัน หรือเพิ่มขึ้น 20% คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 33.9%, “รถเพื่อการพาณิชย์” ทำยอดจำหน่ายไปที่ 166,657 คันลดลง -19% คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 34.5%
ขณะที่รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) มีตัวเลขอยู่ที่ 128,689 คัน ลดลง 27% คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 39.6% และรถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 106,601 คัน ลดลง 28% คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 40.3% ต่อเนื่องที่ยอดรวมของการผลิต สำหรับการขายภายในประเทศ และการส่งออกในปี 2566 สามารถทำตัวเลขไปได้ด้วยจำนวนทั้งสิ้น621,156 คัน หรือลดลง 5.8% หากเทียบจากปี 2565 ซึ่งหากแยกออกมาเป็นปริมาณการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป TOYOTA สามารถส่งออกได้มากถึง 379,044 คัน หรือเพิ่มขึ้น 0.2% จากปี 2565 แม้จะต้องเจอผลกระทบจากปัญหารอบด้านต่างๆ
ซึ่งจากตัวเลขทั้งหมด คงปฏิเสธไม่ได้ว่า TOYOTA สามารถฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย และยังคงครองตัวเลขการจำหน่ายและการส่งออกได้ตามมาตรฐาน ในแบบที่ต้องยอมรับว่ารางวัล Best Export Brand และ Best Selling Brand นับเป็นความเหมาะสมกับ TOYOTA อย่างแท้จริง
Best Fuel Economy Pickup
Under 3,500 c.c.
TOYOTA HILUX REVO
ท้ายสุดแห่งความเหมาะสมในแบบที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ คือรางวัล Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c. โดย TOYOTA HILUX REVO ที่มาพร้อมไฮไลต์โดดเด่นในการพัฒนาเทคโนโลยีให้เกิดความประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
และ TOYOTA HILUX REVO ก็ผ่านการท้าพิสูจน์จริงเป็นที่เรียบร้อย โดยภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งด้วยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ บนเส้นทางขนส่งสายสำคัญ ระหว่าง ถ.สายเอเชีย บางปะอิน-สิงห์บุรี ตามสภาพการจราจรปกติ ขับขี่แบบเปิดแอร์ภายในห้องโดยสาร ภายใต้การแยกต่อถังน้ำมัน เพื่อให้มีความแม่นยำในการทดสอบตามสภาพการการใช้งานจริง
รวมถึงมีการการชั่ง, ตวง, วัดน้ำมัน ทั้งก่อนและหลังการทดสอบ เพื่อความแม่นยำก่อนได้ผลสรุปออกมาอย่างเกินคาดหมายซึ่ง TOYOTA HILUX REVO รุ่นมาตรฐานขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ระยะทาง 127.2 กิโลเมตร ที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์เฉลี่ย 1,350 รอบต่อนาที ตลอด 3 วัน วันละ 2 รอบ เช้าและบ่าย สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ถึง 26.3 กม/ลิตร และเป็นสถิติตัวเลขที่ดี
ที่สุดในคู่แข่งระดับเดียวกัน ซึ่งช่วยตอกย้ำความชัดเจน จนไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงความเหมาะสมกับรางวัล Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c. ที่ TOYOTA HILUX REVO คว้าไปได้อีกครั้งจากงาน Thailand Car of The Year 2024 ปีนี้