Toyota Corolla ปรับโฉมที่ยุโรปเน้นเพิ่มประสิทธิภาพระบบไฮบริด
Toyota ประกาศการปรับโฉมให้กับ Corolla ที่ยุโรป ซึ่งแม้จะมีการปรับในส่วนรูปลักษณ์ของรถไม่มากนัก แต่ก็มาพร้อมกับระบบไฮบริดเจเนเรชันที่ 5 ของ Toyota ซึ่งทำให้มีสมรรถนะสูงขึ้น รวมไปถึงยังถูกเพิ่มความไฮเทคขึ้นในห้องโดยสารของรถ
ไฮไลต์สำคัญในการปรับโฉมของ Toyota Corolla ที่ยุโรปคือการใช้ระบบ Self-Charging Hybrid ใหม่ซึ่งทำให้รถมีสมรรถนะสูงขึ้นกับทั้ง 2 ทางเลือกของรถไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรหรือ 2.0 ลิตรที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดซึ่งมีการออกแบบหน่วยควบคุมพลังงานหรือ PCU และมอเตอร์ไฟฟ้า Transaxle ใหม่ร่วมกับการใช้แบตเตอรีลิเธียมไอออนที่มีขนาดเล็กลงแต่มีกำลังมากขึ้น จนทำให้ลดน้ำหนักของระบบไฮบริดในรถลงได้มากสุดถึง 40 กิโลกรัม
จากการใช้ระบบไฮบริดใหม่ทำให้ Corolla รุ่นปรับโฉมที่มากับเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรมีกำลังขับเคลื่อน 138 แรงม้า เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 18 แรงม้า และใช้เวลา 9.2 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ลดลง 1.7 วินาทีจากรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่ Corolla รุ่นใหม่ที่มากับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรมีกำลัง 193 แรงม้า เพิ่มขึ้น 15 แรงม้า และใช้เวลา 7.5 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ลดลงจากรุ่นก่อนปรับโฉม 0.5 วินาที รวมทั้งยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง 2 กรัม/กม. เหลือ 107 กรัม/กม.
นอกจากการมีกำลังขับเคลื่อนเพิ่มขึ้นแล้วทางวิศวกรของ Toyota ยังมีการปรับตั้งชุดควบคุมการทำงานระบบไฮบริดเพื่อให้มีการเร่งที่ต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติมากขึ้น รวมไปถึงมีการลดความเร็วรอบในการทำงานของเครื่องยนต์ระหว่างเร่งเครื่องลงจึงทำให้เครื่องยนต์เงียบขึ้นด้วย
อีกส่วนที่มีการปรับในรุ่นปรับโฉมของ Corolla ที่ยุโรปคือภายในห้องโดยสารด้วยการใช้จอแสดงข้อมูลขนาด 12.3 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่เกรดกลางขึ้นไป รวมทั้งยังมีจอระบบ Infotainment ขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 10.5 นิ้วที่มาพร้อมกับระบบนำทางบนพื้นฐานจากคลาวด์และระบบควบคุมด้วยเสียงใหม่ที่สามารถควบคุมการเปิด-ปิดกระจกรถได้ รวมไปถึงมีการแต่งภายในห้องโดยสารใหม่
ด้านระบบความปลอดภัย Corolla รุ่นปรับโฉมที่ยุโรปมีแพกเก็จ Toyota T-Mate ที่รวมเอา Toyota Safety Sense ล่าสุดพร้อมกับระบบช่วยขับที่มีความล้ำหน้ามากขึ้นไว้ด้วยกัน โดยที่สามารถอัพเดต Over-the-Air ได้ และผู้ขับยังสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ จากระยะไกลได้จากแอปป MyT
ในส่วนรูปลักษณ์ของ Corolla รุ่นปรับโฉมมีการปรับเปลี่ยนไม่มากนักอย่างการใช้ลาย Mesh ที่กระจังหน้ารวมทั้งขอบรอบไฟตัดหมอกใหม่ และมี 3 สีใหม่ให้เลือกคือสีฟ้า Juniper Blue สำหรับตัวถังแฮทช์แบ็กและแวกอนหรือ Corolla Touring Sport สี Midnight Teal สำหรับตัวถังซีดาน และสีเทา Grey Metallic กับทั้ง 3 ตัวถัง นอกจากนี้เกรดท็อปสุดของตัวถังแฮทช์แบ็กและแวกอนจะมาพร้อมกับไฟหน้า Bi-LED พร้อมระบบปรับไฟสูง Adaptive High-beam System ในขณะที่ Corolla GR Sport จะมาพร้อมกับล้ออัลลอยปัดเงาลายใหม่ รวมทั้งกันชนหลังที่มีความสปอร์ตมากขึ้น
แม้ทาง Toyota จะประกาศการปรับโฉมของ Corolla ที่ยุโรปออกมาตอนนี้ แต่จะเริ่มขายรถในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ส่วนราคาจะประกาศออกมาตอนใกล้ขาย