ด้วยจำนวนรถยนต์พร้อมขุมกำลังไฮบริดของ Volvo ที่ขายได้ในยุโรปไม่เพียงทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สวีเดนรายนี้เอาตัวรอดจากเรื่องกฎเรื่องเป้าหมายค่ามลพิษเฉลี่ยในสหรภาพยุโรปในปีนี้ได้อย่างสบายเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายนี้กำลังเล็งที่จะขายคาร์บอนเครดิตให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่กำลังประสบปัญหาเรื่องเรื่องการปล่อยมลพิษจากรถของตนตามกฎใหม่ของยุโรปด้วย

ตามกฎของสหภาพยุโรปผู้ผลิตรถยนต์ที่ขายรถในสหภาพยุโรปจะต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยในรถที่ขายของตนลงให้เหลือ 95 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งหากไม่สามารถทำได้ก็จะต้องเจอกับค่าปรับจำนวนมาก โดยกฎนี้ของสหภาพยุโรปยอมให้ผู้ผลิตรถยนต์ได้รับคาร์บอนเครดิตเมื่อพวกเขาขายรถไฟฟ้าหรือรถไฮบริดซึ่งมีค่าการปล่อยคาร์บอนได้ออกไซด์น้อยกว่า 95 กรัม/กิโลเมตรได้ เพื่อจะช่วยให้ไม่ถูกปรับตามข้อบังคับของกฎนี้ หรือสามารถขายคาร์บอนเครดิตให้กับผู้ผลิครถยนต์รายอื่นได้

ทาง Volvo ระบุว่าเกือบ 1 ใน 3 ของรถยนต์ของตนที่ขายในยุโรปปีนี้เป็นรถไฮบริดรวมทั้งยังมีรถไฟฟ้าที่จำนวนหนึ่งจากทั้งแบรนด์ Volvo เองและ Polestar จึงทำให้ประสบปัญหาเรื่องนี้ และยังมีคาร์บอนเครดิจเหลือเฟือด้วย “เราอยู่ในสถานะที่ดี ไม่ถูกปรับอย่างแน่นอน และความจริงแล้วเราสามารถให้การสนับสนุนคู่แข่งได้หากพวกเขาต้องการ” Carla de Geyseleer ผู้บริการด้านการเงินของ Volvo Cars เปิดเผยกับ Financial Times นอกจากนี้ยังบอกเพิ่มว่าตอนนี้ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้กับบริษัทใด

การได้รับคาร์บอนเครดิตจากบริษัทคู่แข่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการเลี่ยงการถูกปรับอย่างหนักในยุโรป ตัวอย่างของสถานการณ์นี้คือบริษัทรถยนต์ Fiat Chrysler จะสามารถเอาตัวรอดจากกฎมลพิษใหม่ของสหภาพยุโรปในปีนี้ได้โดยการซื้อคาร์บอนเครดิตจาก Tesla ขณะที่ทาง Volkswagen ได้เซ็นข้อตกลงกับ MG หลังจากต้องพบกับปัญหาเรื่องการเปิดตัวรถไฟฟ้าที่ล่าช้า โดยจะใช้ประโยชน์จากรถเอสยูวี ZS ไฟฟ้าของ MG ที่ไปได้ดีในตลาดยุโรป

นอกจากเรื่องการพิจารณาที่จะขายคาร์บอนเครดิตแล้ว ทาง Volvo ยังประกาศขาย Green Bond หรือตราสารหนี้ที่ใช้ระดมทุนเพื่อลงทุนในโครงการที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแรกของตนเป็นเงิน 500 ล้านยูโรด้วย โดยต้องการนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ในการลงทุนกับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ในอนาคต

เรื่อง: กองบรรณาธิการ

เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th