Volvo XC90 T8 Twin Engine Momentum เอสยูวีจอมพลังแห่งแดนไวกิ้ง
วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดให้สื่อมวลชนได้สัมผัสความหรูหราของ The All-New Volvo XC90 T8 Twin Engine Momentum รถเอสยูวีหรู 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อมกับตัวถังขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์ พ่วงด้วยความแรงแบบเหลือล้นของเครื่องยนต์ T8 Twin Engine AWD Plug-in Hybrid ที่ผสานพละกำลังจากเทอร์โบ, ซูเปอร์ชาร์จ และมอเตอร์ไฟฟ้า เข้าไว้ด้วยกัน บนเส้นทางกรุงเทพฯ – ชลบุรี ระยะทาง 240 กิโลเมตร ซึ่งต้องบอกว่า XC90 คันนี้ เป็นเอสยูวี 7 ที่นั่ง ที่ให้ทั้งความหรู แรง และปลอดภัย ตามคอนเซ็ปต์ “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่” จริงๆ
สำหรับทริปนี้เริ่มต้นเดินทางจากสำนักงานใหญ่ วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ด้วยการขับอย่างอิสระ ซึ่งมีจุดหมายปลายทางคือ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เส้นทางจากนี้เป็นการขับขึ้นทางพิเศษบูรพาวิถี จึงสามารถลองอัตราเร่ง การตอบสนองต่อพวงมาลัย ระบบช่วงล่าง และการยึดเกาะถนนได้อย่างเต็มที่ แต่มีเงื่อนไขเพียงแค่ต้องขับเร็วไม่เกินจากที่กฎหมายกำหนด แต่ก็แอบมีทำความเร็วในบางช่วง ซึ่งถือว่าการขับบนทางด่วนที่สามารถทำความเร็วได้นี้ การตอบสนองต่อคันเร่ง เบรก และช่วงล่างทำได้อย่างยอดเยี่ยม อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเพียง 5 วินาที เป็นตัวเลขที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แบกน้ำหนักตัวถังที่หนักถึง 2 ตัน กลับพุ่งทะยานได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
โดยขุมพลังของ XC90 T8 จริงอยู่ที่มีขนาดแค่ 2.0 ลิตร แต่กลับสร้างอัตราเร่งได้มากขนาดนั้นเป็นเพราะ XC90 Twin Engine เป็นเครื่องยนต์เบนซินที่นำอุปกรณ์เพิ่มพลังทั้ง 2 ชนิด คือ เทอร์โบชาร์จ (Turbocharger) และซูเปอร์ชาร์จ (Supercharger) มาติดตั้งให้ทำงานร่วมกันในทันที และเมื่อรวมพลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า จึงทำให้เครื่องยนต์รีดแรงม้าได้ถึง 407 แรงม้า และเรียกแรงบิดได้สูงถึง 640 นิวตัน-เมตร แต่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 53 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร เท่านั้น (ตามการตรวจวัด NEDC driving cycle) ส่วนการส่งกำลังนั้นทำได้อย่างราบเรียบและต่อเนื่อง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดลูกใหม่ พร้อม Sport Mode และ Geartronic ที่พัฒนาขึ้นจากความร่วมมือระหว่างวอลโว่และ Aisin AW ทำให้มีการตอบสนองและเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และนุ่มนวล รวมทั้งช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิง และปล่อยมลพิษต่ำลง
แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ระบบกันสะเทือน โดยระบบกันสะเทือนหน้าอิสระเป็นแบบของปีกนก 2 ชั้น (Double Wishbone) และ ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์ แต่ไม่ใช้คอยล์สปริง เปลี่ยนเป็นเหล็กสปริงแบบแบนวางขวางลำตัวรถ หรือ Transverse Leaf Spring ซึ่งเป็นวัสดุคุณภาพสูงที่มีน้ำหนักเบามาใช้แทน ทำให้ใช้พื้นที่สำหรับชุดกันกระเทือนหลังน้อยลงและเพิ่มพื้นที่ตรงที่นั่งแถว 3 ได้มากขึ้น รวมทั้งยังทำให้รถเกาะถนนมากขึ้น อาการท้ายโยนเวลาเข้าโค้งลดลง
สำหรับจุดเด่นหลักๆ เป็นเรื่องของระบบการสร้างพลังงานจากเทคโนโลยี Twin Engine โดยทีมวิศวกรของวอลโว่ได้ออกแบบเครื่องยนต์ Drive-E Powertrain ขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ ที่ให้สมรรถนะเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ แต่มีประสิทธิภาพการใช้และเผาไหม้เชื้อเพลิงที่สมบูรณ์แบบและสะอาดหมดจดมากกว่า และใช้เทคโนโลยี Plug-In Hybrid ที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จจากเต้าเสียบไฟฟ้าปกติ (230V/6A to 16A fuse) ที่บ้านหรือในที่จอดรถ การใช้เวลาในการชาร์จประจุไฟใหม่ขึ้นอยู่กับจำนวนแอมแปร์ หากเลือกกระแสไฟฟ้าชาร์จแบตเตอรี่สูงสุดที่ 16A สามารถชาร์จไฟเต็มโดยใช้เวลาเพียง 2.5 ชั่วโมง และสามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว (Pure mode) ได้ไกลถึง 40 กิโลเมตร ซึ่งโหมดการขับแบบปกติจะถูกตั้งไว้ให้อยู่ในโหมด Hybrid เครื่องยนต์ Drive-E เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จและซูเปอร์ชาร์จ จะส่งกำลังขับเคลื่อนให้กับล้อคู่หน้า ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีแรงขับ 87 แรงม้า (หรือเท่ากับ 65.25 กิโลวัตต์ ) จะส่งพลังขับเคลื่อนสู่ล้อคู่หลัง โดยซูเปอร์ชาร์จจะกระตุ้นพลังจากรอบเดินเบา ขณะที่เทอร์โบชาร์จกระตุ้นแรงมหาศาลในช่วงรอบกลางถึงรอบสูง มอเตอร์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนล้อหลังจะส่งกำลังให้เกิดแรงบิดอย่างต่อเนื่อง
ส่วนระบบไดชาร์จ-ไดสตาร์ท CISG (Crankshaft Integrated Starter Generator) ติดตั้งที่ Flywheel ปลายเพลาข้อเหวี่ยงระหว่างเครื่องยนต์กับชุดเกียร์อัตโนมัติ จะทำหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์และชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ช่วยในการทำงาน 3 อย่างหลักๆ คือ เป็นไดสตาร์ทพลังมหาศาล 34 กิโลวัตต์ที่สามารถสตาร์ทให้เครื่องยนต์ติดได้ในทันที, เปลี่ยนการทำงานจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นเครื่องยนต์ได้อย่างนุ่มนวล และเป็นไดชาร์จทรงพลังที่ทำหน้าที่เสมือนตัวเร่งการทำงานของเครื่องยนต์ ประสานการทำงานระหว่างเทอร์โบชาร์จกับซุเปอร์ชาร์จในทันทีที่ต้องการพลังจากแรงบิด 150 นิวตัน-เมตร ส่งพละกำลังในการออกตัวหรือเร่งแซง
ด้านแบตเตอรี่ High-Voltage 270-400 V ให้กำลัง 65 กิโลวัตต์ เป็นอีกหนึ่งความแตกต่างจากค่ายรถอื่นๆติที่มักจะติดปัญหาเรื่องการติดตั้งแบตเตอรี่เข้ากับโครงสร้างของตัวรถโดยไม่เบียดบังพื้นที่ใช้สอยและความสวยงามภายในห้องโดยสาร ซึ่งวอลโว่ได้วางแบตเตอรี่ไว้ในโพลงเพลากลาง (ส่วนนูนที่พื้นรถตรงกลางห้องโดยสาร) ทำให้มีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารในที่นั่งแถวที่ 2 และแถวที่ 3 มากขึ้น ซึ่งตำแหน่งการติดตั้งแบตเตอรี่ไว้ที่บริเวณกลางรถยังส่งผลดีให้ตัวรถมีการกระจายน้ำหนักที่สมดุลย์ และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลถึงการบังคับควบคุมที่ได้ง่าย เกาะถนน และปลอดภัยมากขึ้น
อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรื่องของมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง (Rear Electric Motor) ที่ได้เขียนเอาไว้ข้างต้น โดยมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้ให้กำลังสูงสุด 87 แรงม้า หรือเท่ากับ 65.25 กิโลวัตต์ แรงบิด 240 นิวตัน-เมตร เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเฟืองท้ายตัวหลัง ส่งกำลังขับเคลื่อนเฉพาะล้อรถคู่หลัง ไม่ว่าจะเป็นโหมด Pure หรือว่า Power การติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่เฟืองท้ายตัวหลังทำให้มีเนื้อที่กว้างมากพอที่จะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้พอเหมาะ และสามารถส่งกำลังไฟฟ้าไปยังล้อคู่หลังให้รถเคลื่อนที่ในสภาพรถติดขัดได้อย่างดี รวมทั้งการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนล้อหลังเป็นการเสริมประสิทธิภาพของการทำงานระบบขับเคลื่อนทุกล้อ (All-Wheel-Drive: AWD) ได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ซึ่ง เฟืองท้ายตัวหน้าและตัวหลังมีการขับเคลื่อนแบบแยกอิสระ
นอกจากนี้ ยังมีโหมดการขับให้เลือกใช้งานถึง 7 โหมด ได้แก่ โหมดการขับ ( DRIVE MODE)
ในรุ่นเครื่องยนต์ T8 Twin Engine จะมีโหมดการขับอยู่หลายโหมดเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โหมดการขับต่างๆ เหล่านั้นสามารถเลือกปรับเปลี่ยนได้ด้วยการหมุนและกดปุ่มควบคุมแบบลูกกลิ้งที่อยู่ใกล้กับปุ่มสตาร์ทรถบนคอนโซลกลางข้างที่นั่งผู้ขับ ประโยชน์ที่ผู้ขับขี่จะได้คือสามารถปรับโหมดการขับให้เหมาะสมกับอารมณ์หรือสภาพการขับ ปรับโหมดได้ง่ายดายโดยไม่ต้องละสายตาจากถนน XC90 T8 Twin Engine AWD มีด้วยกัน 6 โหมด
โหมดไฮบริด (ค่าตั้งต้น) HYBRID ในโหมดนี้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินจะถูกใช้งานไม่ว่าจะเป็นทีละระบบหรือทั้งสองระบบพร้อมกันในลักษณะคู่ขนาน การทำงานในโหมดนี้จะได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดทั้งด้านสมรรถนะ การใช้เชื้อเชื้อเพลิง และความสบายโดยการทำงานของเครื่องยนต์และระบบเกียร์อัตโนมัติจะประสานกันโดยอัตโนมัติเพื่อความสบายสูงสุด นี่คือโหมดตั้งต้นทุกครั้งที่คุณสตาร์ทรถ
โหมดเพียวร์ (PURE) โหมดนี้จะใช้งานระบบไฟฟ้าเป็นหลักและใช้พลังงานน้อย เป็นโหมดที่ช่วยให้ผู้ขับใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ระบบไฮบริด สมรรถนะการขับขี่จะถูกลดลงและระบบปรับอากาศจะทำงานเหลือแต่บางส่วน (แต่สามารถปรับด้วยมือได้) โหมดนี้ใช้งานได้ถึงความเร็วรถไม่เกิน 125 กม/ชม. (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่และสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น เช่น การเหยียบแป้นคันเร่งของผู้ขับขี่ หากผู้ขับขี่เหยียบคันเร่งแรงเกินกว่าระดับพลังงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์จะเข้ามาทำงานร่วมทันที) ประโยชน์ของโหมดนี้เหมาะสำหรับการขับขี่ในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด ไม่มีการถ่ายเทอากาศที่ดี เช่น ลานจอดรถในห้าง หรือพื้นที่ที่ควบคุมการปล่อยมลพิษ
โหมดพาวเวอร์ (POWER) เครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานพร้อมกันแบบคู่ขนานเพื่อให้ได้สมรรถนะสูงสุดการขับขี่แบบสปอร์ตและตอบสนองรวดเร็ว นั่นหมายถึงมีการขับเคลื่อนทั้งล้อหน้าและล้อหลังอย่างต่อเนื่อง ในการขับขี่ที่เข้มข้นระบบจะเลือกเกียร์ที่เหมาะกับการเร่งแซงอย่างปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งระบบพวงมาลัยและระบบเบรกจะเข้าสู่โหมดไดนามิก ระบบ ESC และระบบ Start/Stop จะถูกปิดการทำงาน ระบบ Active Sound Control จะเสริมเสียงเครื่องยนต์ให้เร้าใจขึ้น และระบบแสดงผลแบบ Adaptive Digital Display จะเข้าสู่โหมดสปอร์ต
โหมดขับเคลื่อนทุกล้อ (AWD) โหมดนี้ใช้เพื่อการเกาะถนนบนสภาพทางที่ลื่นโดยระบบขับเคลื่อน T8 Twin Engine จะส่งกำลังจากเครื่องยนต์เบนซินไปยังล้อคู่หน้าและกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปยังล้อคู่หลังในลักษณะเดียวกับระบบขับเคลื่อนทุกล้อ (AWD) ของรถเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลธรรมดาที่ปรับเปลี่ยนกระจายกำลังขับไปยังล้อหน้าหรือล้อหลังอย่างต่อเนื่อง
โหมดอ๊อฟโร้ด (OFF-ROAD) จะใช้งานได้ที่ความเร็วต่ำกว่า 20 กม/ชม. เพื่อรักษาสมรรถนะของรถบนพื้นผิวทางที่ไม่ดี และเมื่อความเร็วเกิน 40 กม/ชม. โหมดนี้ก็ปิดการทำงานเองโดยอัตโนมัติและจะเปลี่ยนเป็นโหมด AWD และระบบนี้จะไม่กลับมาทำงานเองอีกแม้ความเร็วลดลง ส่วนการตอบสนองของคันเร่งจะถูกปรับเพื่อลดโอกาสที่จะเร่งความเร็วเกิน 40 กม/ชม. ,การกระจายกำลังล้อหน้าและล้อหลังจะถูกล็อคอยู่ที่อัตรา 50/50, ระบบควบคุมการลงเนิน Hill Descent Control จะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อลงเนินระบบพวงมาลัยจะถูกปรับไปยังโหมดคอมฟอร์ท, ระบบเครื่องยนต์และเกียร์จะประสานงานเพื่อเพิ่มการยึดเกาะถนนเป็นหลัก, ระบบควบคุมเสถียรภาพอิเล็คโทรนิคส์ (ESC) จะเข้าสู่โหมด Traction/Sport และ ระบบStart/Stopจะถูกปลด
โหมดส่วนตัว (Individual) ผู้ขับสามารถตั้งค่าโหมดเฉพาะได้ เช่น เลือกการตอบสนองของพวงมาลัย ระบบบังคับเลี้ยว ความตื้นลึกของเบรก โดยโหมดนี้จะมีให้เลือกใช้เฉพาะเมื่อมีการตั้งค่าเอาไว้เท่านั้น
แค่นั้นยังอัจฉริยะไม่พอ The All-New Volvo XC90 T8 Twin Engine Momentum ยังมีอีกหนึ่งฟังก์ชั่นการใช้งานที่สำคัญ คือ ระบบช่วยในการจอดรถอัตโนมัติ แบบถอยหลังเข้าซอง (Park Assist Pilot-Perpendicular), อุปกรณ์ Head-Up Display ที่แสดงผลความเร็วของรถ และข้อมูลในการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า ด้านหน้าของผู้ขับขี่ และสัมผัสระบบ Sensus Connect ที่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้ากับเครื่องเสียงของรถผ่านสัญญาณบลูทูธ พร้อมทั้งได้ติดตั้ง Apple CarPlay ไว้สำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS เข้ากับรถเพื่อแสดงผลและใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆที่อยู่ในอุปกรณ์ iOS บนหน้าจอขนาด 9 นิ้วแบบสัมผัสที่ติดตั้งอยู่บนคอนโซลกลางของรถได้ด้วยการสัมผัส, สั่งการด้วยเสียง หรือด้วยปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยรถอีกด้วย
ด้านการออกแบบตัวรถ XC90 เป็นรถรุ่นแรกที่ใช้ตราสัญลักษณ์ใหม่ของ Volvo ซึ่งออกแบบให้ส่วนของวงแหวนลูกศรสวยงามมากขึ้น ช่วยทำให้กระจังหน้ารถดูสง่างามและภูมิฐาน มาพร้อมกับไฟหน้าแบบเดย์ไทม์รูปตัวที (T-Shaped Daytime-Running Lights) ที่รวมอยู่ในโคมไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูทรง “ค้อนศาสตราวุธเทพเจ้า ธอร์” (เวอร์วังอลังการณ์ซะจริงๆ) หรือ Thor’s Hammer ที่โด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง “Norse God of Thunder Thor” กลายเป็นความสดใหม่และทันสมัยของวอลโว่ รวมทั้งฝากระโปรงหน้าได้มีการปั้มเส้นสันใหม่ ให้สอดรับกับความคมชัดตลอดแนวยาวของหน้าต่างขอบล่าง ส่วนไฟท้ายเป็นรูปทรงใหม่เช่นกัน ออกแบบให้เป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนความเป็นรถยนต์วอลโว่อย่างชัดเจน
ส่วนภายในห้องโดยสาร มีกลิ่นอายของสวีเดนด้วยงานฝีมือที่ละเอียดอ่อน มีจุดเด่นอยู่ที่จอภาพควบคุมระบบสัมผัสที่คล้ายกับ Table ขนาด 9 นิ้ว ที่ติดตั้งอยู่กลางคอนโซล และยังเป็นหัวใจของการควบคุมระบบต่างๆ ของรถอีกด้วย ทำให้รถคันนี้ไม่มีสวิตซ์ควบคุมให้เกะกะสายตา มีเพียงหน้าจอให้สัมผัสสั่งการเท่านั้น
อีกหนึ่งความสะดวกสบายคือ เบาะนั่งที่นั่งสบายตลอดการเดินทาง คล้ายกับการนั่งลงบนโซฟา เป็นเบาะที่ออกแบบตามหลักสรีรวิทยา ด้วยการหนุนรับกระดูกสันหลังได้อย่างเหมาะสมทำให้ไม่เกิดอาการเมื่อยล้าแม้ต้องขับรถเป็นระยะทางไกล อีกทั้งยังสามารถปรับเบาะได้ทุกทิศทาง ปรับด้วยไฟฟ้า มีปีกหนุนด้านข้างลำตัวที่โอบกระชับ เบาะรองข้อพับหัวเข่าที่ปรับระดับได้ รวมถึงหมอนหนุนเอวด้านหลังที่ปรับได้ 4 ทิศทางเช่นกัน
ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 ยังสามารถปรับเลื่อนเพื่อเพิ่มเนื้อที่ได้พอสมควร ที่พนักพิงสามารถปรับเอนหลังได้อิสระจากกัน สามารถปรับเลื่อนเดินหน้า/ถอยหลังเพิ่มระยะวางเท้าให้กับผู้โดยสารเบาะนั่งแถวที่ 3 ได้ หรือปรับเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระท้ายรถในกรณีที่พนักพิงเบาะนั่งแถวที่ 3 พับราบลง เบาะรองนั่งสำหรับเด็กถูกออกแบบให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับเบาะนั่งตัวกลาง โดยเบาะนั่งแถวที่ 3 นี่ถือว่าทำออกมาได้น่าชมเชย เพราะเมื่อลองนั่งแล้วรู้สึกได้เลยว่าเป็นเบาะนั่งแถว3 ที่นั่งสบายที่สุดในกลุ่มรถเอสยูวี ผู้เขียนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ยังนั่งได้อย่างไม่อึดอัด
นอกจากนี้ ในส่วนของระบบความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ยังได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยต่างๆ อาทิ ระบบปกป้องเมื่อเกิดการวิ่งตกถนน (Run-Off Protection) ที่ถือเป็นนวัตกรรมแรกของโลก, ระบบเบรกอัตโนมัติหลีกเลี่ยงการชนประสานงาบริเวณทางร่วมแยก(Auto Brake at Intersection) เป็นนวัตกรรมที่ 2 ของโลก, ระบบบรรเทาภัยจากกรณีถูกชนท้ายรถ(Pre-crash protection in rear impacts), ระบบป้องกันและปกป้องกรณีรถพลิกคว่ำ(Groundbreaking Rollover Prevention and Protection), City Safety ระบบป้องกันการชนพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน ผู้ขับขี่จักรยานและสัตว์ขนาดใหญ่พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ (City Safety and Auto Braking function), ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจรบนหน้าปัดรถ (Extended Road Sign Information), ระบบแจ้งเตือนเมื่อมียานพาหนะบริเวณจุดบอดสายตา (Cover the Blind Spot), ระบบหยุดและออกตัวรถโดยอัตโนมัติ (Queue Assist), ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างขณะถอยหลังออกจากที่จอด (Cross Traffic Alert), ภาพตัวรถในมุมสูง(A Bird’s Eye-view from above the car), เซนเซอร์อุลตร้าโซนิคตรวจวัดขนาดพื้นที่จอดรถ(Ultrasonic sensors detect the parking space) เป็นต้น
รวมทั้งฟังก์ชั่นพิเศษที่เพิ่มเข้ามาอย่าง IntelliSafe เป็นหนึ่งฟังก์ชั่นในรถยนต์รุ่นใหม่ที่ช่วยให้การถอยจอดรถในที่คับแคบเป็นไปอย่างง่ายดาย โดยระบบ IntelliSafe นี้จะรวมระบบช่วยจอดอัตโนมัติ(Park Assist Pilot) ซึ่งตัวรถจะถอยหลังและหมุนพวงมาลัยรถเองโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นแบบจอดขนานกับขอบถนน หรือ ถอยเข้าซองแถวเรียงหนึ่ง ผู้ขับสามารถสังเกตดูได้จากข้อมูลภาพกราฟฟิคตัวรถที่ถ่ายจากมุมสูง(Bird’s Eye-view) ที่จะปรากฏขึ้นจากจอภาพที่คอนโซลกลาง ซึ่งระบบ Park Assist Pilot จะรับหน้าที่หมุนบังคับพวงมาลัยรถ ขณะที่ผู้ขับเพียงแค่เลือกตำแหน่งเกียร์และความเร็วรถเท่านั้นเอง
โดยรวมแล้วจากการสัมผัสเจ้ายักษ์จากแดนไวกิ้งคันนี้ในระยะเวลาสั้นๆ ถือว่าทำได้น่าประทับใจในทุกด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราเร่งที่มาเร็วและแรงแบบที่ไม่คิดว่ารถตัวถังใหญ่ขนาดนี้จะเร็วพอๆ กับรถสปอร์ต ห้องโดยสารกว้างขวาง ขึ้นลงได้สะดวก นั่งสบายในทุกเบาะนั่ง แถมยังสามารถปรับเบาะใช้งานได้อย่างหลากหลาย กลายเป็นรถเอสยูวีแบบ 7 ที่นั่งที่ตอบโจทย์และคุ้มค่ามากๆ เมื่อเทียบกับหลายสิ่งหลายอย่างที่จัดเต็มมาให้ โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ต้องยอมรับว่า “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่” จริงๆ
ทิ้งท้ายกันเอาไว้สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์วอลโว่รุ่นใหม่ทุกคันจะได้รับ Volvo Maintenance บริการบำรุงรักษาฟรี 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และ Volvo Warranty บริการรับประกันคุณภาพ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และVolvo Assistance บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง 3 ปี มอบเป็นมาตรฐานสำหรับวอลโว่ทุกรุ่น ส่วนราคาจำหน่ายของ Volvo XC90 T8 Twin Engine AWD Momentum มีราคาอยู่ที่ 4,490,000 บาท เท่านั้น
เบาะแถว2และ3 ที่สามารถพับให้ราบเรียบ เพิ่มพื้นที่วางสัมภาระได้มหาศาล
ปุ่มสตาร์ทที่ต่างออกไปกลายเป็นแบบบิดขวาเพื่อสตาร์ท บิดซ้ายเพื่อดับเครื่อง พร้อมปุ่มปรับโหมดการขับ
หัวเกียร์ที่หรูหราด้วยวัสดุประเภทคริสตัล
เย็นฉ่ำด้วยแอร์ตอนหลัง
การแสดงผลหน้าจอแบบ Head Up Display
ความพิถีพิถันในการออกแบบและเลือกใช้วัสดุที่ให้ความหรูหราและมีสไตล์
เรื่อง: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th