ถอดรหัสแรง 600 แรงม้า เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน
คาวาลลิโน มอเตอร์ เผยโฉม Ferrari Portofino (เฟอร์รารี่ พอร์โตฟิโน) และนี่ยังเป็นครั้งแรกของรถ GT ที่รวบรวมความสปอร์ต หรูหรา และความสะดวกสบายในห้องโดยสารเข้าไว้ด้วยกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน บนความแรงระดับ 600 แรงม้า กลายเป็นสปอร์ตคาร์สมรรถนะสูงที่ใช้งานได้ในทุกวัน
Ferrari Portofino คือ รถ V8 GT รุ่นใหม่ของค่ายม้าลำพองเฟอร์รารี่ ที่มุ่งจะเป็นผู้นำในเซ็กเม้นท์ ด้วยแพคเกจที่รวบรวมความสปอร์ต หรูหรา และ สะดวกสบาย เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
โดย Ferrari ได้เลือกชื่อรุ่นที่ค่อนข้างเร้าใจสำหรับรถสปอร์ตเปิดประทุนที่มีความอเนกประสงค์คันนี้ โดยการใช้ชื่อเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศอิตาลี คือ เมือง Portofino เป็นเมืองที่โด่งดังในเรื่องของท่าเรือสำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ และในหลายๆ ปีที่ผ่านมาเมืองนี้ได้เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นในด้านความงดงามของทิวทัศน์ กิจกรรมกีฬา และความหรูหราที่แอบซ่อนไว้ สีในการเปิดตัวของรถรุ่นนี้ก็ใช้สีที่อุทิศให้กับเมืองนี้ด้วยเช่นกัน คือสี Rosso Portofino หรือเรียกว่าเป็นสีแดงเฉพาะของเฟอร์รารี่
ด้วยกำลังสูงสุดถึง 600 แรงม้าและอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.5 วินาที ทำให้ Ferrari Portofino เป็นรถเปิดประทุนที่มีพละกำลังมากที่สุดที่รวบรวมข้อดีของหลังคาแข็งแบบ retractable ห้องเก็บสัมภาระและห้องโดยสารที่กว้างขวาง บวกกับ ที่นั่งเสริมด้านหลังอีกสองที่เหมาะสำหรับการเดินทางระยะสั้น
ในส่วนของระบบช่วงล่างที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดของ Ferrari Portofino ได้รับการลดน้ำหนักเมื่อเทียบกับในรุ่นที่มันทดแทนซึ่งก็คือ รุ่น California T ด้วยการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยมากมาย ชิ้นส่วนต่างๆ ของช่วงล่างและชิ้นส่วน body-in-white ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีน้ำหนักเบาลงถึงแม้ว่าตัวถังจะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ขุมพลัง V8 turbo ของ Ferrari อันเลื่องชื่อเป็นสมาชิกของครอบครัวเครื่องยนต์ที่ได้รับการเสนอชื่อสำหรับรางวัล International Engine of the Year ในปี 2016 และ 2017 ผลิตกำลังได้มากกว่าในรถ California T ถึง 40 แรงม้า โดยการใช้ชิ้นส่วนใหม่และการปรับแต่งซอฟท์แวร์ของระบบควบคุมเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์อันเร้าใจที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari นั้น ได้รับการปรับแต่งเพิ่มเติมเช่นกัน เพื่อให้ได้อรรถรสเต็มที่โดยเฉพาะเมื่อขับขี่แบบเปิดประทุน
ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ V8 ได้ถูกปรับปรุงในทุกด้าน ด้วยการใช้ลูกสูบและก้านสูบแบบใหม่ รวมไปถึงระบบไอดีที่ออกแบบใหม่ มิติต่างๆของระบบไอเสียนั้นก็ได้รับการปฏิวัติใหม่ ระบบเฮดเดอร์หล่อชิ้นเดียวนั้นช่วยลดการสูญเสีย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของการตอบสนองแบบ Ferrari ซึ่งจะไม่มี turbo lag โดยสิ้นเชิง การปรับปรุงต่างๆเหล่านี้ เมื่อทำงานร่วมกับระบบ Variable Boost Management ที่ควบคุมการจ่ายแรงบิดเพื่อให้สัมพันธ์กับเกียร์ที่เลือก ทำให้ Ferrari Portofino นั้นมีอัตราเร่งที่สูงกว่าในทุกย่านความเร็วและทุกเกียร์ พร้อมๆกับมีอัตราบริโภคน้ำมันที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
การทรงตัวของ Ferrari Portofino นั้นได้รับการปรับใหม่หมดและได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆที่นำมาใช้ เป็นครั้งแรกในรถยนต์ Ferrari ชนิดนี้ที่มีการนำระบบ electronic rear differential (E-Diff3) มาใช้โดยทำงานร่วมกับระบบ F1-Trac ซึ่งช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนนและการควบคุม Ferrari Portofino เป็นรถประเภทGTคันแรกในอนุกรมที่ได้รับการติดตั้งระบบพวงมาลัย EPS (Electric Power Steering) ทำให้วิศวกรนั้นสามารถลดอัตราทดพวงมาลับได้ถึง 7% ผลดีก็คือการตอบสนองของพวงมาลัยที่ดีขึ้นโดยไม่กระทบกับความเสถียรเมื่อร่วมทำงานกับระบบ E-Diff3 ระบบกันสะเทือนแบบ magnetorheological damping system (SCM-E) นั้นได้ถูกเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี dual-coil ที่ช่วยลดอาการโคลงในขณะที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซึมซับแรงสะเทือนจากความไม่ราบเรียบของถนน ผลที่ได้ก็คือรถยนต์ที่มีความว่องไวปราดเปรียวและตอบสนองดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มอบสัมผัสแห่งความสบายไปพร้อมๆกัน
Ferrari Portofino ได้รับการออกแบบจาก Ferrari Design Centre และเป็นรถที่มีดีไซน์ที่ดุดัน ตัวถังแบบ two-box fastback ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในกลุ่ม coupe-convertible ที่มีหลังคา retractable hardtop ซึ่งมอบความโฉบเฉี่ยวให้กับรูปร่างโดยรวม มีลักษณะที่สปอร์ตมากขึ้นโดยที่ไม่กระทบกับความหรูหราและความคล่องตัว
การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีม Aerodynamics และ Ferrari Design ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในเรื่องของการจัดการกับพื้นผิวของตัวถังรถ เริ่มจากด้านหน้าที่มีกระจังหม้อน้ำขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่จากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่งของหน้ารถที่ได้ออกแบบมาอย่างประณีต มีชุดไฟหน้าแบบ full-LED ที่ดูเป็นแนวนอนมากขึ้น ด้านมุมนอกของไฟหน้านั้นมีการซ่อนช่องอากาศที่ผ่านเข้ามาทางซุ้มล้อหน้าและออกไปทางด้านข้างเพื่อลดแรงเสียดทานอากาศ
ในส่วนของการออกแบบด้านท้ายช่วยเสริมลักษณะอันดูสปอร์ตของรถ โดยเฉพาะการวางตำแหน่งของไฟท้ายที่ห่างกันมากขึ้น การออกแบบอันชาญฉลาดนี้ช่วยเก็บซ่อนพื้นที่สำหรับระบบ RHT (Retractable Hard Top) ใหม่ ที่มาพร้อมกับน้ำหนักที่ลดลงและสามารถยกขึ้นหรือลงได้ที่ความเร็วต่ำ
ทีมออกแบบได้ให้ความสำคัญแก่ความสะดวกสบายของห้องโดยสารซึ่งมาพร้อมกับอุปกรณ์ใหม่ๆมากมาย ไม่นับระบบinfotainment พร้อมจอ touchscreen ขนาด 10.2 นิ้ว ระบบปรับอากาศใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ว่าจะเปิดหรือปิดหลังคา พวงมาลัย multi-function ใหม่ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าได้ 18 ทิศทาง มีพนักพิงดีไซน์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่วางขาของผู้โดยสารหลัง และระบบจอ Passenger Display สำหรับให้ข้อมูลการขับขี่ผู้โดยสารด้านหน้า ผู้โดยสารทั้งหมดจะได้รับความสะดวกจากระบบ Wind Deflector ใหม่ที่สามารถลดแรงลมในห้องโดยสารได้ถึง 30% รวมทั้งช่วยลดเสียงรบกวนได้อีกด้วย
ข้อมูลทางเทคนิค
เครื่องยนต์
ชนิด V8 – 90 องศา
ความจุ 3,855ซีซี
กำลังสูงสุด* 441kW (600 แรงม้า) ที่ 7,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด* 760 นิวตันเมตร จาก 3,000-5,250 รอบต่อนาที
ความยาวตัวถัง 4,586 มม.
ความกว้าง 1,938 มม.
ความสูง 1,318 มม.
การกระจายน้ำหนัก 46-54% (หน้า-หลัง)
สมรรถนะ
ความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม.
0-100 กม./ชม. 3.5 วินาที
อัตราบริโภคและไอเสียCO2**
อัตราบริโภค 10.5 ลิตร/100 กม.
ไอเสีย 245 กรัม CO2/กม.
*ในเกียร์7
**อัตราเฉลี่ยที่ได้รับการอนุมัติ ระบบ ECE+EUDC และระบบ HELE มาตรฐาน
เรื่อง/ภาพ: พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th