ที่ปัดน้ำฝน ดูแลอย่างไร ควรเปลี่ยนเมื่อใด
หนึ่งในอุปกรณ์ของรถยนต์ที่มักถูกใช้บ่อยเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝนก็คือ ที่ปัดน้ำฝนหรือบางคนอาจเรียกว่าใบปัดน้ำฝน เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถมองเห็นเส้นทางในขณะขับรถท่ามกลางฝนที่ตกได้อย่างชัดเจน เพื่อไปยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นผู้ขับรถจึงควรที่จะดูแลเพื่อให้อุปกรณ์นี้สามารถใช้งานได้ยาวนาน เต็มประสิทธิภาพเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางขณะฝนตก หรือควรเปลี่ยนเมื่อไม่สามารถใช้งานได้ดี โดยต่อไปนี้คือคำแนะนำในการดูแลที่ปัดน้ำฝน รวมทั้งสัญญาณที่บ่งบอกว่าเจ้าของรถควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนใหม่ได้แล้ว
วิธีดูแลที่ปัดน้ำฝน
-ทำความสะอาดยางปัดน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อที่ปัดน้ำฝนถูกใช้งานมานานไม่ว่าจะเพื่อปัดน้ำฝนตามชื่อเรียกหรือล้างคราบสกปรกบนกระจก ตัวยางของที่ปัดน้ำฝนก็มักจะมีสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่น โคลน หรือแม้แต่ขี้นกติดอยู่ ซึ่งสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้สามารถทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่เคย รวมทั้งเป็นสาเหตุบั่นทอนอายุการใช้งานได้ ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดยางบนที่ปัดน้ำฝน ซึ่งวิธีง่ายๆ คือ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตามแนวขอบยางที่ปัดน้ำฝนให้สะอาด
-เลี่ยงการจอดรถตากแดด
บางคนอาจคิดว่าหลังจากใช้งานปัดน้ำฝนมาแล้ว การจอดรถตากแดดหรือ การยกที่ปัดน้ำฝนขึ้นเพื่อตากแดดจะเป็นการช่วยดูแลที่ปัดน้ำฝนที่อาจมีความชื้นหลงเหลืออยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำให้ที่ปัดน้ำฝนได้รับความร้อนจากแสงแดด ซึ่งสามารถส่งผลให้ยางที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพได้ง่าย และหมดอายุการใช้งานเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงควรเลี่ยงการจอดรถตากแดด หรือหากจอดรถตากแดดก็อย่ายกที่ปัดน้ำฝนขึ้น เพราะอากาศที่ร้อนอาจทำให้สปริงและก้านที่ปัดน้ำฝนเสียหายได้
-หมั่นใช้ที่ปัดน้ำฝนแม้ฝนไม่ตก
สิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยดูแลที่ปัดน้ำฝนให้มีอายุการใช้งานยาวนานได้คือ หมั่นเปิดที่ปัดน้ำฝนพร้อมกดน้ำฉีดกระจกก่อนขับรถออกจากบ้าน เพราะไม่เพียงทำให้มองเห็นทางได้ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ยางที่ปัดน้ำฝนไม่แห้งแตกด้วย
-ตรวจสอบหน้ายาง
การตรวจสอบหน้ายางของที่ปัดน้ำฝนไม่เพียงแต่ดูว่ามีสิ่งสกปรกเกาะติดอยู่หรือไม่เพื่อจะทำความสะอาดเท่านั้น แต่ยังควรจับดูหรือสังเกตดูว่ายางแข็งหรือเป็นขุยหรือไม่ ซึ่งหากมีลักษณะแข็งหรือเป็นขุยก็ควรเปลี่ยนใหม่
-ตรวจสอบกระจก
นอกจากการดูสิ่งสกปรกบนที่ปัดน้ำฝนแล้ว กระจกรทั้งกระจกหน้าและกระจกหลังหากมีที่ปัดน้ำฝน เป็นอีกสิ่งที่ควรหมั่นดูอยู่เสมอว่าเศษดิน เศษหิน รอยแตก รอยร้าว ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายกับที่ปัดน้ำฝนเมื่อใช้งานหรือไม่
เมื่อใดที่ควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน
นอกจากการตรวจสอบยางที่ปัดน้ำฝนแล้วพบว่าแข็ง เป็นขุย หรือฉีกขาด ซึ่งควรเปลี่ยนใหม่แล้ว ยังมีอาการต่างๆ ในขณะใช้งานที่บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนใหม่ได้แล้ว
-ที่ปัดน้ำฝนทำงานสะดุด มีการทำงานไม่ราบเรียบขณะใช้งาน ซึ่งอาจมาจากยางปัดน้ำฝนที่แข็ง หรือมีสิ่งสกปรกบนยาง โดยหากมาจากสาเหตุแรกก็ควรเปลี่ยนใหม่
-มีเสียงเสียดสีในขณะทำงาน สาเหตุของอาการนี้มาจากยางที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ แห้งแข็ง ขาดความยืดหยุ่น
-เมื่อปัดน้ำฝนแล้วเกิดริ้วตามแนวปัด ไม่เรียบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากยางที่ปัดน้ำฝนมีรอยแตกเนื่องจากแห้งจนฉีกขาด หรือเนื่องจากมีเศษหินใบไม้กีดขวางใบปัดจนทำให้ยางเป็นรอยหรือฉีกขาด
-ไม่สามารถปาดคราบน้ำได้หมดจด เกิดรอยแยกชัดเจนในขณะปัดน้ำฝน นี่คืออาการจากการที่ยางที่ปัดน้ำฝนหมดอายุ แห้งแตก
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th