ท่องเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตแบบไม่ตามใคร กับ MG GS 1.5 Turbo
บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ชวนสื่อไปขับรถเล่นชิลๆ พร้อมเรียนรู้วิถีชีวิตชาวนาไทย ด้วย SUV พี่ใหญ่สุดคุ้มอย่าง MG GS 1.5 Turbo ที่นอกจากจะให้สมรรถนะที่ไว้ใจได้แล้ว ยังให้ความสะดวกสบายในการใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์เลยทีเดียว
และเพื่อให้สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ “Follow No Others” เอ็มจี จึงได้จัดกิจกรรมครั้งนี้ บนเส้นทางสายวัฒนธรรม กรุงเทพฯ – สุพรรณบุรี เพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์ที่ครบทุกรูปแบบ ทั้งสมรรถนะการขับขี่ ฟังก์ชั่นการใช้งาน อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงที่สุดแห่งความคุ้มค่าของรถสปอร์ตเอสยูวีรุ่นใหม่นี้ ในแบบผู้นำที่ไม่ตามใคร
สำหรับการขับรถในแบบ Road Trip ของ MG GS ขุมพลัง Turbo 1.5 ลิตร ในครั้งนี้ ได้ขับบนระยะทางรวมกว่า 340 กิโลเมตร จาก MGD Driving Experience Center ถ.ศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ ไปยัง จ.สุพรรณบุรี เริ่มต้นกิจกรรมด้วยการไปเรียนรู้วิถีของเกษตรกรยุคใหม่ที่นำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่มาปรับใช้ ณ ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย (นาเฮียใช้) และต่อด้วยการเรียนรู้เรื่องราวสมัยทวาราวดี ‘เมืองโบราณอู่ทอง’ แหล่งวัฒนธรรมอันเก่าแก่อันเลื่องชื่อของเมืองนี้
แน่นอนว่าไฮไลท์ของ MG GS 1.5 Turbo คือการที่ได้สัมผัสความแรงของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Turbo TGI-TECH ระบบหัวฉีดไดเรคอินเจคชั่น ที่ให้พละกำลังสูงสุด 167 แรงม้าที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,700 – 4,400 รอบต่อนาที ผนวกกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ TST – 7 SPEED ที่ได้รับการปรับแต่งให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว มอบอัตราเร่งที่ทันใจในรอบเครื่องยนต์ต่ำเพื่อประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด แต่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม อีกทั้งยังให้ความสะดวกสบายด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง และอุ่นใจตลอดการเดินทางด้วยระบบสื่อสารอัจฉริยะอินคาเน็ต พร้อมด้วย 13 เทคโนโลยีระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป ที่ตอบโจทย์การขับขี่ในเมืองและนอกเมืองได้อย่างลงตัว พูดได้ว่าสิ่งต่างๆ ที่จัดให้มานั้นคุ้มค่ากับค่าตัว 890,000 (รุ่น D 2WD) – 990,000 บาท (รุ่น X 2WD) จริงๆ
มากันที่จุดหมายปลายทางของทริปนี้กันบ้าง จุดแรกที่ถือว่าได้เรียนรู้และได้ประโยชน์อย่างมหาศาลก็คือ ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย (นาเฮียใช้) ที่นี่นอกจากจะแสดงถึงความเป็นวิถีชีวิตและการจัดแสดงบ้านเรือนสไตล์ไทยที่สวยงามแล้ว ยังรวบรวมองค์ความรู้ของวิถีเกษตรกรเอาไว้มากมาย ซึ่งภายในศูนย์จัดแสดงแปลงนาสาธิตที่ปลูกกันในปัจจุบัน, เรือนศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติ เป็นเรือนไทยที่งดงาม ภายในจัดแสดงพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ครั้งเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ รวมถึงพระบรมฉายาลักษณ์ในพระราชกรณียกิจต่างๆ และรูปบุคคลสำคัญที่ร่วมพัฒนาข้าวไทย เรือนไทยนี้จึงถือว่าเป็นเรือนไทยที่ทรงคุณค่าทางจิตใจเป็นอย่างมาก, เรือนแม่พระโพสพ ภายในเรือนไทยจะพบกับองค์พระแม่โพสพ ที่สลักขึ้นมาจากไม้, ร้านโชห่วยหรือร้านขายของสารพัดอย่าง, หอเตือนภัยชาวนา เป็นหอคอยสูง 3 ชั้น สูง 14.5 เมตร ที่ใช้เป็นจุดชมทัศนียภาพของศูนย์แห่งนี้ได้อย่างเต็มตา, เรือนวิถีชีวิตชาวนาไทยในอดีต จัดแสดงเรือนไทยใต้ถุนสูง ที่มีทั้งเรือนไทยหลังใหญ่ เรือนลูกซ้าย เรือนลูกขวา และครัวไฟ อีกทั้งที่ใต้ถุนได้จัดแสดงเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการทำนา ที่แสดงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น และที่บริเวณติดกันมียุ้งเก็บขาว ที่จำลองทุกอย่างเหมือนกับการใช้งานจริง มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการเกษตร การทำนา การดักปลา อุปกรณ์ทำงานไม้ แถมยังให้ได้ลองฝัดข้าวจริงๆ ทำเอาเหนื่อยได้เรื่องเลยทีเดียว
คุณนิทัศน์ เจริญธรรมรักษา ลูกชายของเฮียใช้ ต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง แถมยังอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียด
จากมุมสูงของหอเตือนภัยชาวนา เป็นหอคอยที่กลายเป็นจุดถ่ายภาพไปซะแล้ว
เรือนวิถีชีวิตชาวนาไทยในอดีต
ภายในของร้านโชห่วย มีของที่คุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ เยอะเลย
ควาย หรือ กระบือ ผู้มีพระคุณของชาวนาไทย รูปร่างสมบูรณ์เพราะเลี้ยงดูอย่างดี
แปลงข้าวสาธิต ที่มีพันธุ์ข้าวหลากหลาย
เพื่อสื่อฯ ลองฝัดข้าว…ผลปรากฎว่าแทบลมจับเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังได้นั่งรถท่องเที่ยวชมรอบๆ ศูนย์ที่มีทั้งแปลงผัก แปลงนา บ่อปลา ที่ถือว่าครบทุกอย่างเกี่ยวกับการทำเกษตร เหมาะมากที่จะพาครอบครัวมาเที่ยวในช่วงวันหยุดจริงๆ และศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย (นาเฮียใช้) เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 8.00-18.00 น. เข้าเยี่ยมชมทั่วไปคนละ 20 บาทเท่านั้น
จากนั้นจึงขับรถกันแบบสบายๆ ไปต่อกันที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง (U-Tong Museum) ซึ่งที่แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินินาถ เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เมื่อวันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2509 ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีเป็นอย่างมาก
โดยเมืองอู่ทองนั้น ปัจจุบันอยู่ที่ อ.อู่ทอง เป็นเมืองเก่าที่มีชื่อในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่ว่า พระเจ้าอู่ทองทรงอพยพประชาชนหนีโรคห่า หรือโรคอหิวาตกโรคในสมัยนั้นจากเมืองอู่ทองเมื่อปี 1890 มาสร้างเมืองหลวงใหม่ที่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งภายในอาคารแบ่งโซนจัดแสดงออกเป็นอาคารจัดแสดงที่ 1 เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับเมืองโบราณอู่ทองและวัฒนธรรมทวารวดี (ทวา-ระ-วะ-ดี) และพัฒนาการของเมืองอู่ทองโบราณตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มาถึงยุคสังคมประวัติศาสตร์
ส่วนอาคารจัดแสดงที่ 2 จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับดินแดนสุวรรณภูมิ เส้นทางการค้าทางทะเล การเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุมากมาย ทั้งพระพุทธรูป เครื่องประดับ เงินตราโบราณ เป็นต้น ซึ่งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อู่ทอง เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันพุธ-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 9.00-16.00 น. ปิดวันจันทร์และวันอังคาร ค่าเข้าชม คนไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท
แดดร่มลมตก เผลอแป๊บเดียวก็เข้าสู่ช่วงเย็น ถึงเวลาที่ต้องขับ MG GS 1.5 Turbo กลับกรุงเทพ พร้อมกับเก็บเรื่องราวและประสบการณ์ดีๆ มาเป็นแนวคิดและวิถีในการใช้ชีวิตให้มีคุณค่าได้อย่างมากมาย เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าบนรถยนต์อเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่งเมื่อกลับถึง MGD Driving Experience Center ถ.ศรีนครินทร์ เช็คมาตรวัดระดับน้ำมัน ยังเหลืออีกตั้งครึ่งถัง (ความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร) กับระยะทางกว่า 340 กิโลเมตร ถือว่าประหยัดใช้ได้ น่าเก็บเอาไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับใครที่กำลังมองหารถในกลุ่ม SUV อยู่ในตอนนี้.
ขอขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
เรื่อง : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th