มารู้จัก SUPER GT และ Arto Panther Team Thailand ทีมไทยหนึ่งเดียวในการแข่งขัน
การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบระดับแนวหน้าของประเทศญี่ปุ่น เริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ. 2536 โดยใช้ชื่อว่า Japanese Grand Touring Car Championship หรือ JGTC ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อจาก JGTC เป็น Super GT เพื่อเพิ่มความเป็นสากล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และขึ้นเป็นรายการแข่งขันอันดับ 1 ของเอเชีย และเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ได้รับความนิยมมากในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนักแข่งส่วนมากก็จะเป็นชาวญี่ปุ่น อาจจะมีชาวยุโรปปะบ่นอยู่บ้างในทีมบางทีม ในแต่ละฤดูกาลจะมีการแข่งขันทั้งหมด 8 สนาม โดยแบ่งเป็น 7 สนามในประเทศญี่ปุ่น และอีก 1 สนาม ที่สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย ในปี 2014 สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ได้เข้ามาเป็น 1 ใน 8 ของสนามที่ใช้ในการแข่งขัน Super GT แทนสนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย การแข่งขัน Super GT แบ่งออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ GT 500 และ GT 300 โดยตัวเลขนี้หมายถึงกำลังแรงม้าสูงสุดในแต่ละรุ่น ซึ่งทั้งสองรุ่นจะทำการแข่งไปพร้อมกัน และแต่ละเรซจะมีระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 300 กิโลเมตร ใช้เวลาแข่งขันประมาณ 2 ชั่วโมง
การแข่งขันในรุ่น GT 500 ประกอบไปด้วย รถยนต์จาก 3 ค่ายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น ได้แก่ ฮอนด้า นิสสัน และโตโยต้า (เลกซัส) ส่วนการแข่งขันในรุ่น GT 300 ประกอบไปด้วยรถยนต์จากค่ายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น ได้แก่ โตโยต้า นิสสัน ซูบารุ และฮอนด้า ที่กลับมาเข้าร่วมการแข่งรุ่นนี้ในปี 2018 และแบรนด์ยุโรป ได้แก่ ปอร์เช่ บีเอ็มดับเบิลยู เมอร์เซเดส-เบนซ์ ออดี้ โลตัส เบนท์ลีย์ และเลกซัส ไฟ LED ที่ติดอยู่หน้ากระจกรถ สีแดงและสีน้ำเงิน มีไว้เพื่อบอกผู้ชมว่า นักแข่งคนไหนที่กำลังขับอยู่ จากกติกาการแข่งขันที่กำหนดไว้ว่าในการแข่งขัน 1 เรซ จะต้องมีนักแข่งอย่างน้อย 2 คน โดยไฟ LED สีแดง หมายถึงนักแข่งหมายเลข 1 กำลังขับอยู่ ส่วนสีน้ำเงิน หมายถึงนักแข่งหมายเลข 2 กำลังขับอยู่ จุดสังเกตในการแยกความแตกต่างระหว่างรุ่น GT 500 และรุ่น GT 300 เมื่ออยู่ในสนามการแข่งขัน ก็คือ ไฟหน้ารถแข่ง รุ่น GT 500 ไฟหน้าจะเป็นสีขาว แต่รุ่น GT 300 ไฟหน้าจะเป็นสีเหลือง และสติกเกอร์ที่ติดกับตัวรถ รุ่น GT 500 จะมีพื้นหลังสีขาวและตัวเลขสีดำ แต่รุ่น GT 300 จะมีพื้นหลังสีเหลืองและตัวเลขสีดำ สติกเกอร์คาดกระจกหน้ารถ รุ่น GT 500 เป็นแถบสีขาว แต่รุ่น GT 300 เป็นแถบสีเหลือง
ประเด็นสำคัญก็คือ การที่ซุปเปอร์ GT ใช้สนามในประเทศไทย 1 สนาม จึงส่งผลให้คนไทยได้รับสิทธิ์ลงทำการแข่งขันในสนามประเทศไทยด้วย แต่มีอยู่หนึ่งทีมที่เป็นทีมไทย นักแข่งไทย และลงทำการแข่งขันชิงชัยครบทุกสนาม นั้นก็คือ Arto Panther Team Thailand โดยมีคุณสุทธิพงศ์ สมิตชาติ ผู้บริหารทีม “อาร์โต แพนเธอร์ ทีมไทยแลนด์” นำทีมลงทำการแข่งขัน และมีนักแข่งไทย 2 คน คือ ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ และณัฐพงษ์ ห่อทองคำ ร่วมสู้ศึกในรายการ SUPER GT นี้
เรามาดูความเป็นมาของทีม Arto Panther Team Thailand กันดีกว่าว่าทำอย่างไรถึงเข้าร่วมการแข่ง SUPER GT ได้ จุดสำคัญที่ตัดสินใจส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันคืออะไร คุณสุทธิพงศ์ เผยว่า ตอนที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เปิดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทางโตโยต้าทีมไทยแลนด์ ก็ได้การ์ดจากทางสนามว่าได้มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ JAPAN SUPER GT ในปีนั้นเราใช้ Toyota86 MC101 ซึ่งเป็นการเริ่มแรกที่เราได้ลองแข่งในรายการนี้ หลังจากที่จบปีแรกไปแล้วเราก็ได้มีความคิดว่านักแข่งเราสามารถเข้าร่วมแข่งได้ แต่ก็ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ จากนั้นผมก็พยายามหาทางเข้าร่วมแข่งในรายการ Japan super GT ซึ่งผมคิดว่าถ้าเราได้ลงแข่งแค่สนามเดียวในประเทศไทย ก็เท่ากับเราแข่งอย่างเดียว เรายังไม่ได้เรียนรู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง ก็เลยพยายามเข้าไปแข่งเป็นแบบ Full series ซึ่งรายการ Super GT ยังไม่มีชาวต่างชาติไปข่งเลย เราเป็นทีมแรกที่ได้เข้าไปทำให้ทางผู้จัดรายการแข่งขัน JAPAN SUPER GT เห็นว่าฝีมือนักแข่งเราก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร และเขาก็ยอมรับให้ไปลงแข่งโดยใช้ตัว Toyota86 MC101 แข่งอยู่หนึ่งปีใน Full series
และในปีนี้เองก็ได้รับอนุมัติจากทีม Lexus ที่ญี่ปุ่นให้เป็น 1ใน3 ของทีมแข่งของ Lexus ซึงมีของญี่ปุ่น 2 คัน และทีมไทยแลนด์ 1 คัน ซึ่งเราได้รับสนับสนุนจากทางญี่ปุ่น เราเลยเปลี่ยนจาก TOYOTA 86 MC101 มาเป็น Lexus RCF GT3 ทางโตโยต้าทีมไทยแลนด์มีความภาคภูมิใจมาก เพราะรถ Lexus RCF GT3 ผลิตออกมาเพียง 6 คัน 3 คันอยู่ญี่ปุ่น 1คันอยู่ไทย 1คันไปยุโรป 1คันในอเมริกา จึงทำให้เราภูมิใจที่เขาเชื่อใจให้เราแข่ง ทั้งที่มีหลายทีมเข้าแถวรอรถตัวนี้อยู่ เราจึงต้องืทำให้ดีที่สุดและเราก็ทำผลงานมาได้ดีตลอดเมื่อเทียบกับปีที่แล้วเราอันดับดีขึ้น โดยการแข่งขัน ซูเปอร์ จีที 2018 สนามที่ 4 ของฤดูกาล ที่สนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ถือเป็นสนามแรกที่จัดแข่งนอกประเทศญี่ปุ่น นักแข่งไทยจาก Toyota GAZOO Racing Team Thailand ได้แก่ “ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ” และ “ณัฐพงษ์ ห่อทองคำ” ลงแข่งขันในนาม อาร์โต้ แพนเธอร์ ทีมไทยแลนด์ เป็นตัวแทนประเทศไทยเพียงทีมเดียว ในรุ่นจีที 300 ออกสตาร์ทในกริด ลำดับที่ 17 ทำการแข่งขันรวม 66 รอบ จบการแข่งขัน นักแข่งทั้ง 2 คน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ควบรถคู่ใจเข้า เส้นชัยในอันดับที่ 15 ถือว่าเป็นอันดับที่ดีที่สุดของฤดูกาลนี้
และเนื่องจากเราแข่งทางนี้ก็ได้รับความสนับสนุนจากทาง CP มาเป็นสปอร์นเซอร์หลัก ซึ่งทาง CP ก็อยากส่งเสริมทีมไทยให้ออกไปต่อสู้ชาวต่างชาติ สิ่งที่ตัดสินใจแข่งเพราะโตโยต้าทีมไทยแลนด์อยู่ในเมืองไทยมา 30 ปี ซึ่งเราก็คิดว่าอยู่ในระดับท็อปอยู่แล้ว ถ้ายังอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ไปไหน ทางโตโยต้าไทยแลน์ก็มีนโยบายที่จะส่งนักแข่งไปร่วมกับทางต่างประเทศ ก็ทำให้ผมคิดว่าเราน่าจะลงในรุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งรายการ Super GT เป็นรายการระดับสากในระดับ GT ก็เลยตัดสินใจไปร่วมแข่ง เพราะผมคิดว่านักแข่งไทยมีฝีมือไปแข่งกับต่างชาติได้ เพียงแต่ว่าไม่มีโอกาส ซึ่งผมก็หาช่องทางให้ได้มีโอกาส โดยเริ่มจากนักแข่งชองทีมไทยแลนด์ก้าวออกไปก่อน และต่อมาเราก็จะคัดเลือก และเปิดโอกาศให้นักแข่งหน้าใหม่ที่จะไปเป็นโตโยต้าทีมไทยแลนด์ในรุ่นต่อๆไป เพื่อสร้างความต่อเนื่อง
ถามว่าทำไม่เริ่มจากรายการง่ายๆก่อน ทำไมไป Super GT เลย เพราะในบ้านเรารถที่เราแข่งก็เริ่มจาก GT3 อยู่แล้ว แล้วอีกอย่างนักแข่งเรามีใบขับขี่ silver ก็ลงที่ต่ำลงมากว่านี้ไม่ได้แล้ว และการที่เราคิดว่าระดับนักแข่งของเราเนี่ยเก่งแล้ว แต่เวลาที่เราลงทำการแข่งขันในรายการใหญ่แบบนี้ ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในระดับกลางๆยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งการที่เรามาเปิดหูเปิดตาเรียนรู้ จะทำให้ฝีมือนักแข่งไทยพัฒนาขึ้น
ณัฐวุฒิ เจริญสุขะวัฒนะ เผยว่าความแตกต่างระหว่าง thailand super series กับ super GT แตกต่างที่เห็นได้ชัดคือมาตรฐานการแข่ง ผมไม่ได้บอกว่าการแข่งของเราไม่ดีไม่ได้มาตรฐาน แต่ของเขามีมาตรฐานที่สูงกว่า มีระบบระเบียบ มีเทคโนโลยีดีกว่า ทำให้นักแข่งเขาพัฒนาไปได้เร็วกว่าเดิม
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th