มาแล้ว! All-new Nissan LEAF จัดเต็มเทคโนโลยีอัจฉริยะ-วิ่งไกล 400 กม.
ครบครันทั้งเทคโนโลยี และสมรรถนะการขับสมกับที่รอคอย All-new Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดของโลก เปิดตัวเจเนอเรชั่นที่ 2 พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะแบบจัดเต็ม
ทั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ProPILOT, ระบบช่วยจอด ProPILOT Park, คันเร่ง e-Pedal, ระบบขับเคลื่อนที่ให้กำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (ราว 147 แรงม้า) แรงบิด 320 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ได้รับการพัฒนาใหม่ทำให้วิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง
ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า e-powertrain ที่อยู่ใน New Leaf จะใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ ให้มีศักยภาพในการกักเก็บพลังงานที่ดีขึ้นโดยมีขนาดเท่าเดิม การปรับปรุงใหม่เกิดขึ้นภายในโครงสร้างเซลล์ของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ชนิดอัดซ้อน (Laminated Lithium-ion Battery) ทำให้มีความหนาแน่นของพลังงานเพิ่มขึ้น 67 เปอร์เซ็นต์หากเทียบกับ Leaf รุ่นปี 2010 พร้อมการพัฒนาทางวิศวกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพวัสดุขั้วไฟฟ้าพร้อมการปรับเคมีใหม่ ทำให้มีความหนาแน่นของพลังงานสูงขึ้น
https://youtu.be/VxhoYtiGzjI
ทำให้ New Leaf มีสมรรถนะการขับที่เร้าใจมากขึ้น โดยระบบขับเคลื่อนที่ให้กำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (ราว 147 แรงม้า) เพิ่มขึ้น 38 เปอร์เซ็นต์จากเจเนอเรชั่นแรก และแรงบิดที่เพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 320 นิวตันเมตร ทำให้รถวิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง (ทดสอบภายใต้มาตรฐาน JC08 ของประเทศญี่ปุ่น)
อย่างไรก็ตามใครที่ยังไม่พอใจระยะการขับ 400 กิโลเมตร Nissan เตรียมส่ง Leaf เวอร์ชั่น e+ ออกขายในปีหน้า โดยตอนนี้พวกเขาบอกแค่ว่าจะมีระยะการขับที่ไกลกว่าเท่านั้น แต่หากย้อนกลับไปดูข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้มีความเป็นไปได้ว่า Leaf e+ ชาร์จไฟเต็มจะสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 500 กิโลเมตร
ในส่วนของเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับที่อยู่ใน New Leaf จะมาพร้อม ProPILOT ที่เปิดตัวครั้งแรกในรถเอ็มพีวี Nissan Serena เมื่อปีที่แล้ว โดยเป็นระบบการขับขี่อัตโนมัติแบบช่องจราจรเดียว เมื่อเริ่มทำงานจะช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ และใช้ความเร็วตามที่ผู้ขับขี่กำหนด (ระหว่าง 30-100 กม./ชม.) พร้อมทั้งช่วยควบคุมพวงมาลัยเพื่อรักษาตำแหน่งให้อยู่กึ่งกลางช่องจราจร และหากรถคันหน้าหยุด ProPILOT จะสั่งให้เบรกอัตโนมัติจนกระทั่งรถจอดสนิท โดยจะไม่เคลื่อนที่จนกว่าคนขับจะกดสวิตช์อีกครั้งหรือเหยียบคันเร่งเบาๆ เรียกว่าช่วยลดความเครียดเวลาเจอรถติดได้มากทีเดียว
ขณะที่ ProPILOT Park จะเป็นระบบช่วยเหลือการเข้าจอดอัตโนมัติ โดยจะควบคุมทุกอย่างตั้งแต่คันเร่ง, เบรก, พวงมาลัย, เปลี่ยนเกียร์ และเบรกมือ ด้วยการใช้เทคโนโลยีประมวลภาพระดับสูงจากกล้องที่มีความละเอียดสูง (HD) 4 ตัว และเซ็นเซอร์อัลตร้าโซนิก 12 ตัวที่ติดตั้งอยู่รอบ New Leaf ทำให้คนขับมั่นใจในความปลอดภัย และความแม่นยำของระบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการถอยเข้าซองหรือจอดแบบเทียบข้าง
และสุดท้าย e-Pedal เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่มีการนำเสนอเพื่อโปรโมต New Leaf มาก่อนหน้านี้ จะติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มความสบายให้คนขับในการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียวในการควบคุมตั้งแต่ออกตัวจนจอดสนิท โดยผลการศึกษาของ Nissan ทั้งในญี่ปุ่น, ยุโรป และสหรัฐฯ ท่ามกลางสภาวะจราจรที่ติดขัด e-Pedal ช่วยลดจำนวนครั้งที่คนขับต้องเหยียบเบรก และใช้เพียงแป้นคันเร่งอย่างเดียวมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ หากเทียบกับการขับรถยนต์ปกติ
กราฟฟิกแสดงขั้นตอนการทำงานของ e-Pedal
นอกจาก 3 เทคโนโลยีหลักที่นำเสนอ New Leaf จะติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับอีกเพียบไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในช่องจราจร (Intelligent Lane Intervention), ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร (Lane Departure Warning), ระบบเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking), ระบบเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Warning), ระบบตรวจจับป้ายจราจร (Traffic Sign Recognition), ระบบเตือนการจราจรตัดขวางด้านหลัง (Rear Cross Traffic Alert), ระบบตรวจจับรอบคันอัจฉริยะ (Intelligent Around View Monitor) และระบบช่วยเหลือฉุกเฉินขณะเหยียบแป้นคันเร่งโดยไม่ตั้งใจ (Emergency Assist for Pedal Misapplication)
ในส่วนของการออกแบบ New Leaf พัฒนาจากรถต้นแบบ IDS Concept ที่เปิดตัวครั้งแรกในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2015 โดยดีไซน์ของรถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงแนวความคิดที่ก้าวไปข้างหน้าของ Nissan ด้วยการใช้เส้นสายที่เรียบง่าย, แฝงความดุดัน และความโฉบเฉี่ยวของการเล่นแสงเงา ให้ทุกคนที่ได้เห็นรู้สึกเหมือนเป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้เส้นสายหลักในแนวนอน, กันชน และความโดดเด่นของตัวถังช่วงล่างเน้นย้ำให้เห็นถึงจุดศูนย์ตัวที่ต่ำของตัวรถ (Lower Center of Gravity) สัมผัสได้ถึงสัญชาติญาณการขับขี่ที่สนุกสนาน และปราดเปรียว
IDS Concept ต้นแบบของ Leaf เจเนอเรชั่นที่ 2
การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในส่วนของกระจังหน้า V-Motion ที่เพิ่มลวดลายตาข่ายสีน้ำเงินมองเห็นเป็น 3 มิติเพื่อแสดงให้เห็นความพิเศษเฉพาะตัวในฐานะรถยนต์พลังงานไฟฟ้า, ไฟหน้ารูปทรงบูมเมอแรง และการออกแบบหลังคาให้หลอกตาเหมือนลอยสูงขึ้น (Floating Roof) แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการออกแบบภายใต้แบรนด์ Nissan เพื่อให้ Neww Leaf มีความใกล้เคียงกับโมเดลอื่นๆ อย่างรถยอดนิยม X-Trail
นอกจากนี้ New Leaf ติดตั้งไฟหน้าแบบคู่ Projector-beam แบ่งการทำงานแบบไดเร็ค-เลนส์ในช่วงไฟต่ำ และไฟสูง นับเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งในรถยนต์ของนิสสัน ด้วยความซับซ้อนในการทำงานที่ช่วยสร้างความรู้สึกที่ล้ำสมัย พร้อมทั้งเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองเห็น และความปลอดภัยด้วยการเพิ่มระยะการส่องสว่างที่ครอบคลุมไกลขึ้น, การรักษาสมดุลในการออกแบบ และความหลากหลายในการใช้งาน
สำหรับการออกแบบตัวถังตามหลักแอโรไดนามิกส์ รวมถึงกันชนหลังที่เป็นแนวโค้ง และการออกแบบล้อตามหลักอากาศพลศาสตร์ จนทำให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานของอากาศ (Drag Coefficient) ของ New Leaf อยู่ที่เพียง 0.28 เท่านั้น นับว่าต่ำมากหากเทียบกับรถยนต์ทั่วไป
นอกจากนี้ช่องเสียบสายชาร์จไฟบริเวณด้านหน้ารถได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้มีความสะดวกขึ้น เจ้าของรถสามารถเสียบสายชาร์จโดยไม่ต้องก้มตัวลงมาเหมือนรุ่นก่อน ในการทดสอบตามหลักสรีรศาสตร์ของ Nissan แสดงให้เห็นว่าช่องเสียบสายชาร์จไฟใหม่ที่ถูกติดตั้งในระดับ 45 องศา ทำให้ไม่ว่าจะมีความสูงระดับใดก็สะดวกกับการเสียบสายชาร์จไฟเข้ากับลีฟรุ่นใหม่ โดยใช้เวลาในการชาร์จ 8 ชั่วโมง (6 กิโลวัตต์) และ 16 ชั่วโมง (3 กิโลวัตต์) แต่หากเป็นแบบด่วน (Quick Charging) จะใช้เวลา 40 นาที จะมีกำลังไฟ 80 เปอร์เซ็นต์
ภายในห้องโดยสารของ New Leaf จะมีความกว้าง และสะดวกสบายมากขึ้นด้วยการใช้ภาษาในการออกแบบของแบรนด์ Gliding Wing เป็นแนวทางหลัก การปรับดีไซน์ให้หน้าจอแสดงข้อมูลของคนขับเรียบง่ายขึ้น รูปแบบของไฟที่ให้ความลงตัว โดยสิ่งสำคัญที่มุ่งเน้นคือความโดดเด่น, การสร้างสรรค์รสนิยม, ความเรียบหรู และความรู้สึกที่น่าประทับใจกับพื้นที่ว่าง และความหลากหลายในการใช้งาน
การกลั่นกรองความคิดเพื่อดีไซน์บริเวณคอนโซลกลาง และปุ่มเกียร์ ทำให้ผู้ที่ขับ New Leaf จะได้รับข้อมูลที่พวกเขาต้องการได้ตลอดเวลา ช่วยให้มีสมาธิในสิ่งสำคัญที่สุด รวมถึงสัมผัสความสนุกในการขับ โดยหน้าจอแสดงข้อมูล และสวิตช์ควบคุมต่างๆ ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบให้มีความฉลาด และใช้งานง่ายขึ้น มีความโดดเด่นมากที่สุดเป็นการผสมผสานระหว่างมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อกกับหน้าจอแสดงผลมัลติ-อินฟอร์เมชั่น ฝั่งซ้ายจะใช้หน้าจอสี Thin-film Transistor (TFT) ขนาด 7 นิ้ว เพื่อบอกปริมาณกำลังไฟฟ้าที่ใช้ตามการกำหนดค่ามาตรฐาน โดยคนขับสามารถเลือกแสดงข้อมูลตามที่ต้องการ หน้าจอแสดงผลตรงกลางแบบ Flush-surface ช่วยให้ผู้ขับขี่สะดวกต่อการเลือกระบบความบันเทิง และใช้งานระบบนำทาง สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส รวมทั้งแสดงให้เห็นการทำงานของเทคโนโลยี Safety Shield, ระดับการชาร์จไฟของรถ และพลังงานที่เหลืออยู่
การใช้งาน NissanConnect ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ Nissan Intelligent Integration โดยคนขับสามารถค้นหาข้อมูลอัพเดตล่าสุดของสถานีชาร์จไฟฟ้าทั้งสถานที่ตั้งหรือเวลาให้บริการ รวมทั้งการรอคิวชาร์จ และในระหว่างชาร์จไฟฟ้าเจ้าของรถสามารถดูปริมาณแบตเตอรี่ผ่านสมาร์ตโฟน
อย่างไรก็ตามถึงความจุพลังงานของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน จะเพิ่มขึ้น แต่ขนาดของแบตเตอรี่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ห้องโดยสารรองรับได้ 5 คนเท่าเดิม รวมทั้งการออกแบบพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านหลังใหม่ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บมากถึง 435 ลิตร เก็บกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ 2 ใบหรือกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง 3 ใบ นอกจากนี้ยังช่วยให้จัดเก็บสายชาร์จไฟได้สะดวกขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ New Leaf ไม่เพียงจะเป็นยานพาหนะในการเดินทาง แต่จะสามารถช่วยลดการปล่อยมลพิษสู่โลกด้วยการควบคุมจัดสรรพลังงานไฟฟ้าระหว่างรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับที่พักอาศัย, อาคาร และโครงข่ายไฟฟ้าต่างๆ ภายใต้ชื่่อ Vehicle-to-Home
รูปแบบการใช้งานของ Vehicle-to-Home ในช่วงเวลากลางวันแบตเตอรี่ของ Leaf จะสะสมพลังงานให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากพลังงานส่วนเกินของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) เพื่อนำกระแสไฟฟ้ามาใช้งานภายในบ้านช่วงกลางคืน โดยลูกค้าผู้เป็นเจ้าของ Leaf สามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงเวลาดึกที่บางประเทศมีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุด และนำมาจ่ายกระแสไฟฟ้าในช่วงกลางวันเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน
การดีไซน์ระบบเชื่อมต่อใหม่ของแอพลิเคชั่น Nissan Leaf เพื่อใช้งานผ่านสมาร์ตโฟน จะสามารถเรียกดูข้อมูลการชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่รถยนต์, การกำหนดเวลาชาร์จเพื่อความคุ้มค่าที่สุดในช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟฟ้าต่ำ, การค้นหาตำแหน่งสถานีชาร์จไฟฟ้า และการเปิดเครื่องปรับอากาศให้ทำความร้อนหรือความเย็นล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าสู่รถ
สำหรับ All-new Nissan Leaf จะเริ่มต้นขายในประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคมนี้ พร้อมจะเริ่มต้นส่งมอบลูกค้าในประเทศสหรัฐฯ, แคนาดา และยุโรป ช่วงเดือนมกราคมปีหน้า โดย Nissan วางแผนจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้มากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก (ราคาขายในประเทศสหรัฐฯ เริ่มต้นที่ 29,990 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1.01 ล้านบาท)
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: nissannews.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th