ย้อนรอย 35 ปี “ฮอนด้า แอคคอร์ด”
หลังจากเป็นโรคเลื่อนปล่อยให้สาวกชะเง้อคอรอคอยกันมาตั้งแต่ปลายปีก่อน ก็ถึงมหามงคลฤกษ์อันสมควรกับการเปิดตัว “ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่” เจเนอเรชั่นที่ 10 อย่างเป็นทางการในประเทศไทย วันที่ 19 มีนาคม 62 นี้ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ชัดเจนว่า ฮอนด้าเตรียมเสนอทางเลือกให้กับผู้บริโภคด้วยขุมพลังใหม่ คือ เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Di VTEC TURBO ใหม่ และเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร Sport Hybrid i-MMD ใหม่ พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ปูพื้นฐานให้คนรู้จักมาได้พักใหญ่อย่าง “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” (Honda SENSING)
“ฮอนด้า แอคคอร์ด”จัดว่าเป็นรถที่อยู่คู่กับตลาดรถยนต์นั่งในเมืองไทยมายาวนานอยู่ในกลุ่มสินค้าที่เมื่อมีการออกรุ่นใหม่มาจำหน่ายในแต่ละเจเนอเรชั่นล้วนได้รับความนิยมเป็นอย่างดี แม้คนไทยจะเริ่มรู้จักรถยนต์รุ่นนี้ตั้งแต่เจเนอเรชั่นแรกจากการเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2519 เพื่อมาแข่งกับคู่ปรับในตลาดอย่างโตโยต้า โคโรน่า, มิตซูบิชิ กาแลนท์ และมาสด้า 626 แต่รุ่นที่เริ่มเข้ามาทำตลาดครั้งแรก คือ ฮอนด้า แอคคอร์ด เจเนอเรชั่น 2
หลังจากเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นปี 2525 บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า ที่เพิ่งเริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ก็ได้นำแอคคอร์ด เจเนอเรชั่น 2 เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในปี 2527 แนะนำตัวกันในช่วงงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 5 พร้อมทำตลาดด้วยรูปทรงแบบซีดาน ชูความเป็นต้นแบบแห่งวิศวกรรมยานยยนต์ยุคใหม่
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 12 วาล์ว ขนาด 1,800 ซีซี. แบบ Cross Flow Heads มอบกำลังสูงสุด 97 แร้งมา ที่ 5,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 14.3 กิโลกรัมต่อเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น Accord 5-Sp เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ วางราคาจำหน่ายในยุคนั้นอยู่ที่ 367,000 บาท และรุ่น Accord Automatic เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ราคา 395,000 บาท
ในยุคนั้นคนไทยยังไม่ค่อยให้ความนิยมในแบรนด์ของฮอนด้ามากนัก และผู้บริหารฮอนด้าเองก็ค่อนข้างวางตำแหน่งทางการตลาดของตนเองไว้อยู่ในระดับไฮเอนด์เทียบชั้นกับแบรนด์รถยุโรปอย่างบีเอ็มดับเบิ้ลยู ซึ่งช่วงนั้นรุ่น 316 i แบบ 2 ประตู ราคา 484,000 บาท ส่วนรถในกลุ่มเดียวกันอย่างโคโรน่า 1.8 Auto ราคา 358,000 บาท
โดยหากไปดูยอดจดทะเบียนของฮอนด้า แอคคอร์ด ในปี 2527 หลังจากเปิดตัวขายในช่วงกลางปีมีตัวเลขอยู่ที่ 170 คัน ส่วนถัดมาในปี 2528 มีตัวเลขยอดจดทะเบียนทั้งหมดอยู่ที่ 345 คัน
อายุการทำตลาดของเจเนอเรชั่นที่ 2 ค่อนข้างจะสั้น ปี 2529 แอคคอร์ด เจเนอเรชั่นที่ 3 ถูกเปิดตัวในญี่ปุ่นและเป็นตัวเปิดให้คนรู้จักฮอนด้า แอคคอร์ด มากยิ่งขึ้นในทุกประเทศที่เข้าไปทำตลาด โดยเฉพาะกับตลาดประเทศไทย เจเนอเรชั่นที่ 3 นับเป็นตัวแจ้งเกิดรถยนต์รุ่นนี้อย่างแท้จริง จนขึ้นมาแข่งกับเจ้าตลาดในยุคนั้นได้อย่างสนุก
สำหรับตลาดโลกฮอนด้ามีการผลิตตัวถังของแอคคอร์ดรุ่นนี้ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งตัวถังมาตรฐานอย่างซีดาน แฮตช์แบ็ก ตามด้วยคูเป้ และสเตชันแวกอนแบบ 3 ประตูที่เรียกว่า Aerodeck นอกจากนั้นในตลาดญี่ปุ่น ฮอนด้ายังผลิตแอคคอร์ดตัวถังนี้ในอีกเวอร์ชัน โดยมีหน้าตาที่แตกต่างจากรุ่นมาตรฐาน เพื่อส่งขายผ่านทางตัวแทนจำหน่ายของฮอนด้าที่ชื่อว่า Verno อีกด้วย
แอคคอร์ด เจเนอเรชั่น 3 ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกๆ ของฮอนด้าที่มีการใช้ระบบช่วงล่างแบบปีกนก 2 ชั้น ทั้งด้านหน้า และหลัง ก่อนที่จะมีการนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นอื่นๆ อย่างซีวิค, อินเทกรา และพรีลูด ในเวลาต่อมา ส่วนเครื่องยนต์ที่ทำตลาดมีทั้งแบบ 1,600 ซีซี 88 แรงม้า ตามด้วย 1,800 ซีซี 100-110 แรงม้า และ 2,000 ซีซี 98-160 แรงม้าขึ้นอยู่กับตลาดที่วางขาย โดยการทำตลาดมีขึ้นจนกระทั่งถึงปี 1989 จึงมีการเปลี่ยนโฉม
ในเจเนอเรชั่น 4 บ้านเรารู้จักกันในชื่อแอคคอร์ด ตาเพชร ซึ่งแอคคอร์ดเริ่มถูกยกระดับขึ้นไปสู่ความเป็นรถยนต์นั่งหรูหรามากยิ่งขึ้น ทั้งการถอดเครื่องยนต์ 1,600 ซีซี.ออกไปแล้วแทนที่ถาวรด้วย เครื่องยนต์ 1,800 และ 2,000 ซีซี. จนมาถึเจเนอเรชั่น 5 นอกจากการอัปเกรดสู่ตลาดรถยนต์ที่สูงขึ้นในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลางเต็มตัวแล้ว แอคคอร์ดรุ่นนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่ฮอนด้าแยกการพัฒนาระหว่างรุ่นที่ขายในยุโรป กับตลาดญี่ปุ่นออกจากกัน ทำให้ทั้งตัวถังและหน้าตาของแอคคอร์ดที่ขายในตลาดเหล่านี้มีความแตกต่างกัน
เจเนอเรชั่น 6 ก็ดูจะสร้างความประหลาดใจอีกครั้งด้วยการแยกพัฒนาออกเป็น 3 เวอร์ชัน คือ ยุโรป, ญี่ปุ่น และอเมริกาเหนือ ซึ่งในบ้านเราเองก็โยกย้ายจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นไปสู่เวอร์ชั่นอเมริกานับจากรุ่นนี้เป็นต้นมา ซึ่งในสมัยนั้นคู่แข่งสำคัญ คือ โตโยต้า คัมรี่ และนิสสัน เซฟิโร
จากนั้น แอคคอร์ดถูกพัฒนาทั้งด้านรูปลักษณ์และเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง สร้างยอดขายให้กับฮอนด้ามาอย่างต่อเนื่อง จนในเจเนอเรชั่น 9 ที่เริ่มบรรจุเครื่องยนต์ไฮบริด ซึ่งนับเป็นไฮบริดที่ทันสมัยที่สุดในช่วงนั้น และช่วยดันให้แอคคอร์ดขยับขึ้นมาอยู่ในระดับแถวบนของตารางยอดขายอย่างเต็มตัว ก่อนที่ตลาดรถยนต์รวมในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลางจะเริ่มค่อย ๆ หดตัวลง เพราะลูกค้าเริ่มหันไปหารถอเนกประสงค์ที่ราคาใกล้เคียงกันมากขึ้น เพราะนับย้อนไปที่ตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลางมียอดขายเกิน 1 หมื่นคัน ก็เมื่อปี 2559
สุดท้ายคงต้องรอติดตามกันว่า หลังจากปล่อยให้คู่แข่งสำคัญ โตโยต้า คัมรี่ เจเนอเรชั่นใหม่ และนิสสัน เทียน่า รุ่นไมเนอร์เชนจ์ สร้างยอดขายนำหน้าไปตั้งแต่ปลายปีก่อน แอคคอร์ด เจเนอเรชั่น 10 ที่จะมาพร้อมเทคโนโลยีมากมาย และจุดขายคือ สปอร์ต ไฮบริด จะช่วยกระตุ้นตลาดกลุ่มนี้ให้กลับมาคึกคักได้มากน้อยแค่ไหน
เรื่อง: เกรียงศักดิ์ กลิ่นจุ่น ข้อมูล หนังสือพิมพ์ยวดยาน
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th