รถไฟฟ้า มาแน่นะเทอ EP5. ระบบขับอัตโนมัติ ใน EV ไฮเทคหรือดาบสองคม ???
ตอนนี้มีข่าวดังที่รถ TESLA MODEL S เกิดอุบัติเหตุในรัฐเทกซัส อเมริกา โดยรถแหกโค้งชนต้นไม้ด้วยความเร็วสูง และมีเพลิงไหม้กว่า 4 ชม. และเกรียมไป 2 คน และที่น่าทึ่งกว่านั้น คือ “ไม่มีคนนั่งในตำแหน่งคนขับ” 2 คนนี้ นั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง ??? (คิดอะไรกันอยู่นะ) ซึ่งแน่นอนว่า มันมีเอี่ยวกับระบบ Autopilot หรือ “ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ” สรุปแล้วว่า “มันปลอดภัยและมีประสิทธิภาพอย่างที่ TESLA คุยไว้จริงหรือ” เราลองมาวิเคราะห์กันสไตล์ง่ายๆ ดูว่า เหตุใดถึงเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ และ ผลสรุป จะ “โทษใคร” ดีละ…
- เป็นระบบ “ช่วยเหลือ” ต้องเข้าใจคำนี้ก่อน : ระบบความปลอดภัยทั้งหลายที่ค่ายรถยนต์ประดังมาเพื่อเรียกแขก อย่างใน TESLA เคสนี้ มันเป็น Level – 2 มันเป็นเพียง “ระบบช่วยเหลือการขับขี่” เท่านั้น มันไม่ได้ “ขับให้ 100 %” โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย คนขับยังคงต้องคอยมีสติในการควบคุมรถอยู่บ้าง ต้องตีความหมายคำว่า “ช่วยเหลือ” หรือ Assistant ให้ได้ก่อน หลักๆ ระบบจะทำงานโดยใช้ Cruise Control จับความเร็วของรถคันข้างหน้า เพื่อร่วมกับการจับ (Detect) เส้นถนน เพื่อประคองให้รถอยู่กลางเลน แต่มีเงื่อนไขว่า “ต้องมีคนขับ” อาจจะพอละมือจากพวงมาลัยหรือถนนได้บ้างเป็นเวลาแป๊บๆ ไม่กี่วินาที เป็นการ “พัก” แล้ว “ระบบจะส่งเสียงหรือสัญญาณเตือน” ให้จับพวงมาลัย หรือ เบรก ไม่ใช่ “ให้รถมันขับเองโดยที่เราไม่สนใจอะไรเลย” ซึ่งรถคันที่ชนนี้ ทาง TESLA ก็มีข้อมูลว่า ไม่ได้ซื้อระบบ FSD หรือ Full Self Driving (ต้องเพิ่มเงิน 10,000 เหรียญ) ที่ “ขับให้เองเต็มระบบ” ด้วย จึงไม่แปลกที่มันจะชน…
- ขาดความเข้าใจในการใช้รถ : อันนี้เหมือนจะเป็นเรื่องปกติ ที่พอซื้อรถมาแล้ว “ไม่อ่านคู่มือการใช้รถให้ถ่องแท้” เรียกว่าใช้รถมา จนขายต่อไปไม่รู้กี่มือ คู่มือก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่เคยแกะอ่าน แสดงให้เห็นว่า นี่แหละ “มนุษย์” ไม่ศึกษาให้ดีก่อน โดยเฉพาะระบบความปลอดภัย อย่างเคสนี้ อาจจะเกิดอารมณ์ “อยากลองของ” ก็เป็นได้ แต่ทะลึ่งลืมศึกษาก่อน ว่าระบบมันทำงานครอบคลุมแค่ไหน เพราะฉะนั้น หากซื้อรถมาใช้ ก็ควรจะ “ทำความรู้จักกับมันให้ถ่องแท้” เพื่อความคุ้มค่าและความปลอดภัยสูงสุดครับ…
- ระบบ “ไม่ใช่พระเจ้า” : ระบบมันก็คือ “คอมพิวเตอร์” อันทันสมัย ต่อให้การจับวัตถุไวแค่ไหน แต่มันก็ไม่ใช่พระเจ้า ไม่มี “ตาหรือญาณทิพย์” ที่จะหยั่งรู้เหตุการณ์ทั้งหมด เพราะมันไม่สามารถจะคาดเดา “เงื่อนไขที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” ได้ มันอาจจะใช้ได้กับประเทศที่มีผังถนนดี เส้นแบ่งถนนชัดเจน ที่สำคัญ “มารยาทและวินัยในการขับขี่” ต่างประเทศเขาค่อนข้างมีความรับผิดชอบเพราะกฏหมายเขาแรง แต่ในบ้านเรา “รู้ๆ กันอยู่” ระบบเหล่านี้ เจอบ้านเราก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน ยังไงก็อย่าไปหวังพึ่งพามันทุกสิ่งอย่าง…
- “ประมาท” จบทุกสิ่ง : ไม่ว่ารถชนิดใด ระบบเทพแค่ไหนในโลก ถ้าสุดยอดตอนนี้คือ Level – 5 คือ “ไม่ต้องมีคนขับเลย” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอุบัติเหตุจะเป็นศูนย์นะครับ อย่างเคสที่ว่ามานี้ ทำไมถึงไม่นั่งตำแหน่งคนขับ ??? แล้ว 2 คนนั้นทำอะไรกันอยู่ ??? ถ้าเคสนี้ มันก็คือความ “ประมาท” และ “ขาดสติ” นั่นเอง คงโทษใครไม่ได้ครับ นอกจากโทษตัวเอง…
นี่แหละครับ ความจริงก็คือความจริง ระบบช่วยมันก็ช่วยได้ในบางกรณี และ บางพื้นที่ที่เหมาะสม เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามันจะ “ทำให้เราเต็มร้อย” ซึ่งตอนนี้หลายคนก็เข้าใจผิดกันอยู่ เฮ้ย มีระบบป้องกันว่ะ ขับไปดูหนังไป เล่นโทรศัพท์ไปได้ นับว่าเป็น “ดาบสองคม” เหมือนกับทำให้ “มนุษย์เพิ่มความประมาทมากขึ้น” จริงๆ แล้วระบบต่างๆ นี้มันไม่ผิด ผู้ผลิตเจตนาดีเพื่อ “ช่วยเหลือ” คนขับ แต่ถ้าคนขับตั้งอยู่ในความประมาท ระบบแสนแพงเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรจะช่วยได้ครับ…
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : Welldone Quarantee
เรื่อง: อินทรภูมิ์ แสงดี
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th