ลองครั้งแรก! กับขุมพลัง e-POWER ใน “Serena” รถครอบครัวขนาดกลางที่รักสิ่งแวดล้อม
ถ้าคุณสนใจในเรื่องของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า คุณต้องติดตามเรื่องนี้ เพราะนี่จะเป็นการเปิดโลกอีกใบของรถไฟฟ้า ที่ปกติแล้วรถไฟฟ้าจำเป็นจะต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟ แต่สำหรับ Serena e-POWER (เซเรน่า อี-พาวเวอร์) มันคือรถไฟฟ้าที่ไม่ต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟ เพียงเติมน้ำมันก็สามารถใช้งานได้อย่างสบายใจ แถมยังปล่อยไอเสียที่ต่ำมากอีกด้วย
อันดับแรกต้องขอขอบคุณ “อีตั้น กรุ๊ป” (ETON) ผู้นำเข้ารถยนต์สำหรับครอบครัวและผู้บริหาร พร้อมศูนย์บริการมาตรฐาน ที่เปิดดำเนินงานถึง 25 ปี ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำในกลุ่มรถนำเข้าแบบครอบครัวตัวจริง โดยครั้งนี้ใจถึงด้วยการนำเข้า Nissan Serena e-POWER (นิสสัน เซเรน่า อี-พาวเวอร์) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดในญี่ปุ่นมาจำหน่ายให้คนไทยที่รักสิ่งแวดล้อม และต้องการรถยนต์ไว้ใช้เดินทางแบบครอบครัว แถมยังใจดีให้ Grandprix Online ได้ทดลองขับอีกด้วย
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยี e-POWER กันสักนิด…เทคโนโลยีนี้ประกอบด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือเครื่องยนต์ที่เติมน้ำมันเชื้อเพลิงนี่ล่ะ ทำงานร่วมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator), อินเวอร์เตอร์ (Inverter) และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งรถจะถูกขับเคลื่อนด้วยพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนกระแสไฟฟ้าที่ถูกปั่นโดยเครื่องยนต์จะส่งมายังมอเตอร์ไฟฟ้าและนำมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่กำลังสูง โดยที่เจ้าเครื่องยนต์ขนาดเล็กมีหน้าที่เพียงสร้างกระแสไฟฟ้ามาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ (ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นไฟ) เพื่อชดเชยกระแสไฟฟ้าที่กำลังถูกใช้งาน เครื่องยนต์ไม่มีการเชื่อมต่อเข้ากับชุดเกียร์โดยตรง แต่จะทำงานร่วมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าและชาร์จเข้ามาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ก่อนที่กระแสไฟฟ้าจะส่งไปสู่มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนตัวรถนั่นเอง[expander_maker id=”4″ more=”อ่านเพิ่มเติม” less=”Read less”] ซึ่งจะพูดไปแล้วเทคโนโลยี e-POWER มีความโดดเด่นกว่าเทคโนโลยี Hybrid (ไฮบริด) แบบเดิมที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลัง เพราะระบบไฮบริดที่ใช้กันอยู่ มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงานเมื่อแบตเตอรี่มีกำลังไฟฟ้าที่ต่ำหรืออยู่ในช่วงการทำงความเร็วสูง แต่ในขณะเดียวกัน e-POWER มีความแตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่รับพลังงานไฟฟ้าจากการชาร์จแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว และต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟ แต่ e-POWER ไม่ต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟ แค่เติมน้ำมันก็สามารถใช้งานได้เหมือนรถยนต์ทั่วไปนั่นเอง..ชมคลิปด้านล่างนี้เพื่ออธิบายการทำงานของเทคโนโลยี e-POWER
ส่วน Nissan Serena e-POWER 2019 ที่อีตั้นนำเข้ามาจำหน่ายนี้ มีราคาอยู่ที่ 2,290,000 บาท มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ HR12DE ขนาด 1,200 ซีซี พละกำลังสูงสุด 84 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ที่ 3,200-5,200 รอบต่อนาที ย้ำอีกครั้งว่าเครื่องยนต์ไม่ได้มีหน้าที่ส่งพละกำลังขับเคลื่อนไปที่ล้อหน้า แต่ทำหน้าที่ปั่นไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่ เพื่อส่งพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 ที่ให้พละกำลังถึง 136 แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง 320 นิวตันเมตร (แน่นอนว่ารถคันนี้มีท่อไอเสียเหมือนรถยนต์ทั่วไป)
สำหรับ Serena e-POWER (เซเรน่า อี-พาวเวอร์) เป็นรถครอบครัวขนาดกลาง มีรูปโฉมทรงกล่อง ประตูสไลด์แบบไฟฟ้า ประตูท้ายเปิดได้ 2 ระดับ คือ เปิดได้ทั้งบาน และแบ่งเปิดเฉพาะบานกระจกด้านบน หน้าตาดูทันสมัยและดูปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว มีเส้นสายที่เฉียบคมน่ามอง เสริมความโดดเด่นด้วยกระจังหน้าขลิบสีฟ้า, สปอยเลอร์, ล้อลาย Aero ขนาด 15 นิ้ว, ไฟท้ายแบบ LED, โลโก้ Serena e-POWER ที่กาบประตูคู่หน้าและท้าย
พวงมาลัยแบบ D-Shape เช่นเดียวกับใน Nissan Note และ Nissan Leaf
เบาะนั่งคู่หน้านั่งสบาย เบาะใหญ่ มีที่พักแขน เหมาะกับการขับทางไกลและใกล้
เกียร์ที่ออกแบบได้ทันสมัย พร้อมปุ่มสตาร์ท
มาตรวัดความเร็วที่ออกแบบมาเหมือนกับใน Nissan Leaf ด้านขวาแสดงโหมดที่ใช้ขับ มีให้เลือกแบบ Normal, Eco และ S
หน้าจอแสดงสถานะการใช้พลังงาน แต่เป็นภาษาญี่ปุ่น
ตำแหน่งการวางพื้นที่แสดงสถานะการใช้พลังงานและมาตรวัดความเร็วที่ออกแบบเป็นแนวยาว
เบาะนั่งแถวสองสามารถปรับเลื่อนได้ เบาะมีพนักเท้าแขน และปรับให้เอนนอนได้
เบาะนั่งแถวสามที่นั่งได้สบายไม่อึดอัด
ทัศนวิสัยการขับที่สบายตา เพราะกระจกบานหน้ามีขนาดใหญ่ตามสไตล์รถในกลุ่มนี้
ที่หลังเบาะมีถาดรองที่พับเก็บได้อย่างเรีบบเนียน
มีม่านบังแดดมาให้ด้วย
ภายในห้องโดยสาร โปร่งและโล่งกว้าง มีเบาะนั่งแบบ 7 ที่นั่ง เบาะนั่งแถวสองมีรางเลื่อนขยับเพื่อเพิ่มพื้นที่ได้ เบาะแถวสามสามารถนั่งได้สบายและปรับพับตลบเก็บด้านข้าง ที่คอนโซลติดตั้งหน้าจอแสดงผลแบบ Advanced Drive Assist Display พร้อมการใช้เส้นสีฟ้าตกแต่งหัวเกียร์ และถาดเก็บของด้านหน้ารถ พวงมาลัยหุ้มด้วยหนังแท้แบบมัลติฟังก์ชั่นแบบ 3 ก้าน ปุ่มเลือกการขับขี่แบบอีโค มาตรวัดขนาดยาวถูกจัดวางให้ลึกอยู่ด้านบนแผงคอนโซลสีดำ มีสวิทต์การขับแบบ Eco Mode พร้อมไฟแจ้งสถานะ เย็นสบายด้วยระบบปรับอากาศแยกซ้าย-ขวา และยังติดตั้งระบบกรองอากาศที่ช่วยรักษาสุขภาพที่ดีให้กับผู้โดยสารอีกด้วย
เส้นสายด้านข้างตัวรถที่ทำให้ดูปราดเปรียว
ส่วนระบบความปลอดภัย จัดมาให้เต็มที่ไม่ว่าจะเป็นทั้งระบบเบรกอัตโนมัติ Intelligent Emergency Braking, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ ทำงานร่วมกับระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ โดยวิเคราะห์ระยะห่างและความเร็วด้วยกล้องด้านหน้า, ระบบแจ้งเตือนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane-Departure Warning System, ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไฟกะพริบบนหน้าปัด พร้อมส่งเสียงเตือน เมื่อตรวจพบการเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ได้ ตั้งใจ, ระบบปรับระดับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Adjust และระบบป้องกันการเหยียบแป้นผิดพลาด Emergency Assist for Missed Pedal Application และยังสามารถสั่ง (Option) ระบบ Pro PILOT ที่ช่วยระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติบนถนนช่องทางเดียวได้อีกด้วยหากต้องการ
ในส่วนของการทดลองขับ ครั้งนี้ได้ลองขับยาวๆ จากโชว์รูมอีตั้น ถ.ศรีนครินทร์ ไปยัง จ.ชลบุรี แล้วขับกลับ ระยะทางร่วม 170 กิโลเมตร และเส้นทางค่อนข้างโล่งจึงสามารถลองใช้ความเร็วได้ในระดับที่เกินใช้งาน แต่ด้วยไฮไลท์อยู่ที่เทคโนโลยี e-POWER จึงจะขอเน้นไปที่การใช้พลังงาน อัตราเร่ง และรูปแบบการขับเคลื่อนเป็นหลัก
พูดได้ว่า Serena e-POWER (เซเรน่า อี-พาวเวอร์) มีรูปแบบการใช้งานแทบจะเหมือนกับ Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) โดยเฉพาะการใช้คันเร่งที่ไม่จำเป็นต้องยกเท้าเปลี่ยนมาเหยียบเบรก เหมือนกับระบบ e-Pedal ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกการออกตัว เร่งความเร็ว ลดความเร็ว หยุดนิ่งและควบคุมตัวรถให้อยู่กับที่ด้วยการใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว เพียงยกเท้าออกจากคันเร่ง ตัวรถจะลดความเร็วจนหยุดนิ่งได้อย่างนุ่มนวล โดยไม่จำเป็นต้องแตะแป้นเบรก ด้วยอัตราการลดความเร็วที่ไม่เกิน 0.2 จี ซึ่งมีผลสำรวจของนิสสันในประเทศญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา มีข้อมูลว่าระบบ e–Pedal ช่วยลดจำนวนการเหยียบแป้นเบรกขณะเดินทางในการจราจรที่ติดขัด แม้ว่าแป้นเบรกจะได้รับการใช้งานเช่นเดิม เมื่อต้องมีการเบรกอย่างกะทันหัน แต่ e–Pedal สามารถช่วยให้สามารถใช้แป้นคันเร่งเพียงหนึ่งเดียวในกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการขับขี่ ซึ่งเมื่อได้ลองใช้งานจริงแล้วก็เป็นอย่างที่ข้อมูลว่าไว้จริงๆ เพียงแต่ในช่วงแรกๆ ผู้ขับต้องปรับตัวใช้งานคันเร่งให้สัมพันธ์กับระบบช่วยเบรกนี้สักพักเท่านั้นเอง
ส่วนอัตราเร่งทำได้น่าประทับใจ แม้ว่าตัวถังจะเป็นแบบกล่อง รถใช้งานแบบครอบครัว แต่ด้วยแรงบิด 320 นิวตันเมตร จากมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้การออกตัวทำได้ทันใจ การเร่งแซงไม่ต้องรอรอบเครื่อง กดคันเร่งเติมรถจะพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้น (ได้อารมณ์กว่ารถไฟฟ้าแบบ 100% เยอะเลย) เผลอแป๊บเดียวมาตรวัดความเร็วกวาดไปถึง 167 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในช่วงการเร่งแซงจากความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปเพียงแค่ไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้น ซึ่งความเร็วขึ้นมาไวมากจริงๆ โดยที่ระบบช่วงล่างยังคงนิ่ง เกาะถนนได้ดี แต่รถคันนี้จะแสดงสมรรถนะได้ดีในช่วงของการขับในสภาพการจราจรที่แออัดหรือการขับในตัวเมืองมากกว่าการขับออกนอกเมือง เพราะเท่าที่สังเกตจะเห็นว่าหากความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวโดยที่เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานเพื่อชาร์จไฟไปเก็บในแบตเตอรี่ และหากรถติดอยู่นิ่งๆ สามารถกดปุ่มชาร์จไฟ เพื่อให้เครื่องยนต์ปั่นไฟเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้อีกด้วย
ด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน JC08 ทำได้ที่ 26.2 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ในวันที่ทดสอบเป็นการขับสลับกัน 3 คน อัตราการทำความเร็วต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทางตรงยาว ใช้ความเร็วสูง และลองการคิกดาวน์บ่อยครั้ง อัตราสิ้นเปลืองจึงอยู่ที่ 12 กิโลเมตรต่อลิตร แต่หากใช้งานในชีวิตประจำวันคาดว่าจะแตะหลัก 20 กิโลเมตรต่อลิตร อย่างแน่นอน ถือว่าเป็นรถครอบครัวที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะการใช้งานในเมืองเป็นหลัก จะว่าไปแล้วเทคโนโลยี e-POWER เหมาะสมกับการใช้งานในบ้านเรายิ่งกว่า EV ล้วนๆ ซะอีกนะเนี่ย
ในภาพรวมถือว่า Serena e-POWER (เซเรน่า อี-พาวเวอร์) มีความน่าสนใจในเรื่องของเทคโนโลยี e-POWER เป็นรถไฟฟ้าที่ไม่ต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟ ใช้การเติมน้ำมันเหมือนรถยนต์ทั่วไป จึงไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดตอนไหน อัตราเร่งประทับใจ เสริมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงเช่นเดียวกับ นิสสัน ลีฟ หากใครสนใจรถครอบครัวที่รักสิ่งแวดล้อมแบบนี้ และเป็นรถยนต์นำเข้า (เมนูภาษาญี่ปุ่น) ในราคา 2,290,000 บาท ติดต่อได้ที่โชว์รูม อีตั้น ทั้ง 4 สาขา สำนักงานใหญ่ศรีนครินทร์, สาขารัชดา, สาขาเชียงใหม่ และสาขาขอนแก่น โทร. 02 –789-9998 หรือคลิ๊กไปที่ www.ETON-import.com
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของ e-POWER (อี-เพาเวอร์)
ขุมพลังแบบ อี-เพาเวอร์ (e-POWER) ให้แรงบิดมหาศาลในทันทีและคงที่ตลอดเวลาทำให้มีอัตราเร่งที่รวดเร็วแต่นุ่มนวล แต่ยังมีความเงียบในระหว่างการขับเคลื่อนเช่นเดียวกับนิสสัน ลีฟที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยในระบบ อี-เพาเวอร์ เครื่องยนต์สันดาปภายในจะไม่ได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถ จึงทำให้มีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ในรถยนต์ไฮบริดทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานในเมือง ซึ่งเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ยังให้ผู้ขับขี่ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle – BEV) แต่สามารถลดความวิตกกังวลเมื่อต้องหาสถานีชาร์จไฟฟ้าได้อีกด้วย
ความเป็นมาของการพัฒนาเทคโนโลยี อี-เพาเวอร์
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยมลพิษ และลดอัตราความสูญเสียบนท้องถนนให้เป็นศูนย์ ผ่านนวัตกรรมยานยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาด อย่าง รถยนต์ไฟฟ้า และ ระบบขับขี่อัตโนมัติ (autonomous drive) ภายใต้แนวคิดของ “การขับเคลื่อนอัจฉริยะของนิสสัน (Nissan Intelligent Mobility)” ที่ได้กำหนดทิศทางของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านการใช้พลังงาน, การขับขี่, การอยู่ร่วมกันของรถยนต์และสังคมไปจนถึงการสร้างความสุขของการใช้รถยนต์ เทคโนโลยี อี-เพาเวอร์ นี้จะเป็นอีกก้าวที่สำคัญให้นิสสันเข้าใกล้เป้าหมายในด้านการปล่อยมลพิษที่เป็นศูนย์
ในปี พ.ศ. 2549 นิสสันประสบความสำเร็จด้วยการคิดค้นและพัฒนาแบตเตอรีสำหรับรถยนต์แบบไฮบริดที่มีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ในขณะเดียวกันก็มีการนำเทคโนโลยีของนิสสันไม่ว่าจะเป็น การผสมผสานของเครื่องยนต์ผลิตกำลัง มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดความทนทาน ลดเสียงรบกวน, ลดการสั่นสะเทือน และลดความกระด้างต่างๆ (Noise/Vibration/Harshness – NVH) ซึ่งทั้งหมดได้กลายมาเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาขุมพลังสุดล้ำอย่าง อี-เพาเวอร์ สำหรับรถยนต์ขนาดคอมแพ็กต์โดยเฉพาะ
นิสสันมุ่งมั่นในการพัฒนารถยนต์ปลอดมลพิษที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนมาตลอด โดยผ่านการใช้เชื้อเพลิงรูปแบบต่างๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย ขุมพลัง อี-เพาเวอร์ จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเติมเต็มรูปแบบของระบบขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าของนิสสัน นอกเหนือจากการมุ่งพัฒนารถยนต์ที่ใช้เซลเชื้อเพลิงแบบใหม่ที่เรียกว่า SOFC (Solid Oxide Fuel Cell Vehicle) ที่เพิ่งประกาศความสำเร็จไปเมื่อไม่นานมานี้อีกด้วย
เรื่อง/ภาพ : พุทธิ ผาสุข
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th
[/expander_maker]