เที่ยวเบตง 2565
พามาอัพเดตที่กิน ที่ เที่ยวเบตง ทั้งสถานที่ยอดฮิต จุดเช็กอิน รวมถึงที่เที่ยว Unseen ที่ทุกคนต้องหลงรัก
เบตง อำเภอที่ยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติ ตั้งอยู่ล่างสุดของภาคใต้ ในจังหวัดยะลา จังหวัดที่ไม่ค่อยมีใครกล้ามา แต่ต้องบอกว่าไม่ใช่เมืองที่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะแม้ว่าจะอยู่ห่างไกล และล่างสุดของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เบตง ยังคงครึกครื้น และน่าท่องเที่ยวในทุกฤดูกาล เราจึงอยากชวนทุกคนมา เที่ยวเบตง พร้อมพามาอัพเดตที่กิน ที่ เที่ยวเบตง ทั้งสถานที่ยอดฮิต จุดเช็กอิน รวมถึงที่เที่ยว Unseen ที่ทุกคนต้องหลงรัก
สำหรับใครที่กำลังลังเลว่าฤดูหนาวนี้ จะขึ้นไปสัมผัสอากาศหนาว เคล้าสายหมอกที่ภาคเหนือ อยากให้ลองเปลี่ยนทิศ ปักหมุดลงมา เที่ยวเบตง ดูบ้าง เพราะอำเภอเบตงมีบรรยากาศที่สวย และสดชื่นไม่แพ้ขุนเขา และทะเลหมอกในภาคเหนือ ซึ่งจะทำให้คุณต้องเซอร์ไพรส์ กับความสมบูรณ์ของธรรมชาติ อากาศหนาว และทะเลหมอกที่มีให้เห็นตลอดปี ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้ว่าที่นี่ สวยงามไม่แพ้ภาคเหนือของไทย สมกับคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน” ซึ่งทริปนี้ เราจะมาเที่ยวกันแบบ 3 วัน 2 คืน แบบกินอิ่มทุกมื้อ พร้อมพาไปที่เที่ยวแบบสุดว้าว
การเดินทางลงมาเบตง
ด้วยความที่อำเภอเบตง อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ราว 1,220 กิโลเมตร เป็นอำเภอใหญ่ และอยู่ทางใต้สุดในจังหวัดยะลา แต่การเดินทางลงมาค่อนข้างลำบาก ด้วยทิวเขาสลับทับซ้อนจำนวนมาก ทำให้การตัดเส้นทางจึงเต็มไปด้วยโค้งนับพัน สำหรับคนที่วิงเวียนศีรษะ เราจึงไม่แนะนำให้นั่งรถลงมาเท่าไหร่นัก แต่ก็มีสายการบินเดียวเท่านั้นที่บินตรงมายังเบตง ก็คือสายการบินนกแอร์ ซึ่งสามารถประหยัดเวลาการเดินทางลงได้มาก ด้วยการบินตรงจาก กรุงเทพฯ ในเวลาเพียง 1.50 ชั่วโมง
เมื่อได้เวลาใกล้แลนดิ้งลงสนามบินเบตง เราพบว่าวิวด้านล่างนั้นเต็มไปด้วยหุบเขาสลับทับซ้อน เขียวชะอุ่ม อุดมสมบูรณ์ และสวยงามมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมการเดินทางมายังเบตงทางรถยนต์จึงต้องใช้เวลานานกว่าปกติในระยะทางที่เท่าๆกัน
เมื่อเครื่องแลนดิ้งลงเรียบร้อย เราพบว่า สนามบินเบตงเป็นสนามบินขนาดเล็ก แต่ยิ่งใหญ่ไปด้วยการดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยการนำต้นไผ่ตงมาตกแต่งดีไซน์ให้ดูสวยงามจนทุกคนที่มาเยือนต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
หลังจากเรารับกระเป๋าเดินทางเสร็จสรรพ เราจะพากันไปเข้าที่พัก ซึ่งอยู่ในตัวเมือง ห่างจากสนามบินราว 20 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 30 นาที ด้วยรถบัส ที่นั่งสบาย จ่ายเพียงแค่คนละ 60 บาท พร้อมพี่คนขับที่คอยให้บริการเราอย่างดี คอยยกกระเป๋า และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้ด้วย ซึ่งไฟลท์เช้าของการบินตรงเบตง กับนกแอร์ ทำให้เราถึงที่พักราวบ่ายโมง
ที่พักสบายในเมืองเบตง
ในทริปนี้ เราจะพามาพักที่ โรงแรมแกรนด์วิว แลนด์มาร์ค เบตง เพราะยังคงเป็นโรงแรมใหม่ที่สุดในเมืองเบตง ที่นักท่องเที่ยวยังคงหลั่งใหลเข้ามาพักอย่างต่อเนื่องหลังจากที่สถานการณ์โควิดดีขึ้น ทั้งด้วยทำเลดี อยู่ใกล้จุดเช็กอิน แหล่งท่องเที่ยว และร้านอาหาร ห้องพักสะอาดสะอ้าน ราคาสบายกระเป๋า แถมมีห้องพักให้เลือกถึง 7 แบบ ให้คุณเลือกเข้าพักได้ทั้งแบบมาเดี่ยว มาคู่ มากับแกงค์เพื่อน หรือครอบครัวใหญ่ พร้อมลานจอดรถขนาดใหญ่ และมีร้านอาหารอร่อยอยู่ด้านล่าง ซึ่งในวันแรกหลังเก็บของเข้าที่พัก เรามีเวลาเที่ยวอยู่ครึ่งวัน ก็ไม่รีรอ ได้รถเช่าแล้ว ก็ออกไปท่องเบตงทันที
เบตง ต้องเที่ยวไหน?
ถ่ายรูปเช็กอิน ป้ายใต้สุดแดนสยาม
มันเป็นธรรมเนียมสำหรับผู้มาเยือนทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่จะต้องพากันมาถ่ายรูปคู่กับป้ายใต้สุดแดนสยาม ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนระหว่างอำเภอเบตง และรัฐเปรัค ประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 7 กิโลเมตรเท่านั้น ทำให้เวลาเที่ยวครึ่งวันของเราเหลือๆ เมื่อขับรถมาเที่ยวที่จุดนี้ ป้ายที่ว่านี้ สร้างขึ้นจากหินอ่อน พร้อมสลักรูปแผนที่ประเทศไทย และข้อความด้วยสีทอง ทำให้ไม่ว่าใครที่มาเยือนเบตง ก็ยังคงอยากที่จะเดินทางมาถ่ายรูปเช็กอินกับป้ายนี้ ไม่งั้นก็เหมือนว่ามาไม่ถึง
ชมประวัติศาสตร์คอมมิวนิสต์มลายา ท่ามกลางป่าเขาที่ อุโมงค์ปิยะมิตร
เริ่มต้นถ่ายรูปเช็กอินใต้สุดแดนสยามเรียบร้อย ก็ค่อยๆ ขับรถเดินทางกันต่อมายัง อุโมงค์ปิยะมิตร แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ รวมถึงยังเป็นเหมือนแหล่งเรียนรู้ความเป็นอยู่ของขบวนการจอมโจรคอมมิวนิสต์มลายา เป็นอุโมงค์เดินในป่าเขา ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมือง แต่ต่อมาได้กลับใจมาร่วมพัฒนาชาติไทย ถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2519 เพื่อใช้หลบเลี่ยงการโจมตีทางอากาศ และสะสมเสบียงอาหาร นอกจากแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ภายในอุโมงค์แล้ว เส้นทางขาออกของที่นี่ คุณก็จะได้ตื่นตาไปกับต้นไทรพันปี ที่สูงตระหง่าน รากเหง้าสวยงาม ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของสถานที่นี้ โดยเฉพาะกับสายธรรมชาติ
อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ อีกจุดเช็กอินห้ามพลาด
นี่คืออุโมงค์ที่ใกล้กับโรงแรมที่เราพักมาก แถมยังเป็นจุดเช็กอินสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนเบตงก็ว่าได้ ทั้งที่อุโมงค์แห่งนี้สวยงามอย่างมากอยู่แล้วหลังจากที่มีการปรับปรุงใหม่ เพราะภายในตกแต่งด้วยงานอะลูมิเนียมฉลุลาย พร้อมติดไฟสว่าง เป็นทางโค้งทอดยาว เจาะทะลุเขา สวยงาม แต่ในช่วงแรกๆ ยังไม่ค่อยดังมากนัก ถ้าจะให้นึกภาพกันออกว่าที่นี่กลายเป็นจุดเช็กอินสำคัญตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็คงต้องบอกว่า ตอนที่พี่ตูน มาใช้เป็นจุดสตาร์ทการวิ่ง ในโครงการก้าวคนละก้าวนั่นแหละ
ทะเลหมอก ฆูนุงซีลีปัต อัยเยอร์เวง
สำหรับทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต อัยเยอร์เวง ถือเป็นที่เที่ยว UNSEEN แบบแย่งซีนทะเลหมอกทุกภาคที่มีในไทยก็ว่าได้ ซึ่งเราได้เดินทางออกจากโรงแรมกันในช่วงเช้าตรู่ (ตีสี่) ของวันที่สอง เพื่อที่จะได้มาสัมผัสแสงแรกของวัน พร้อมกับทะเลหมอกแบบปูพรมขาวไปทั่วบริเวณ
ฆูนุงซีลีปัต สามารถเลือกขึ้นได้ 2 ทาง เส้นทางแรก สำหรับผู้ที่ไม่ชอบเดินไกล (แบบเรา) เขาก็จะมีรถ 4WD ที่ขับโดยผู้ชำนาญเส้นทาง พาเรานั่งรถขึ้นไปราว 40 นาที เพื่อไปถึงจุดเดินเท้า ซึ่งเป็นทางชันไปถึงยอดเขาราว 400 เมตร โดย 200 เมตรแรกเป็นการเดินคล้ายเส้นทางเทรล แต่สำหรับ 200 ที่เหลือก่อนถึงยอดเขา คือการปีนป่ายด้วยสองมือ และสองเท้า ไต่ไปตามหิน
เส้นทางที่สอง คือผู้ที่ชอบเดินป่า ปีนป่าย ไต่เขา สายเทรล แข็งแรง และมีเวลามากหน่อย เพราะเขาจะไปนอนกางเต็นท์ค้างคืน ณ จุดกางเต็นท์ของคนในพื้นที่ พอเช้า ก็ออกเดินเท้าไปอีกเส้นทาง ซึ่งใช้เวลานานกว่า เพราะระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร
แต่ไม่ว่าเส้นทางไหน เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของยอดเขาแห่งนี้ ความเหนื่อยก็เป็นเพียงภาพลางๆ เลือนหายไปจนจำแทบไม่ได้ ด้วยวิวทะเลหมอกที่แผ่กระจายอยู่ตรงหน้า กับวิวสุดลูกหูลูกตาของทิวเขาที่ล้อไปกับสายหมอก เล่นเอาเราหลงรักจนปัดอันดับความสวยงามของทะเลหมอกทางภาคเหนือตกลงไปอยู่ล่างๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งระหว่างชมวิว เสพบรรยากาศ ไกด์ที่พาเราขึ้นไป เขาก็จะเตรียมปิ้งขนมปัง ตั้งน้ำร้อน เพื่อชงชา กาแฟ ให้เราได้กินเป็นมื้อเช้า ท่ามกลางความสวยงามของทะเลหมอกแห่งนี้
สำหรับใครที่ต้องการเดินทางชมทะเลหมอก ก็ขอบอกว่าคุณจะได้ช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนฆูนุงซีลีปัตแห่งนี้ด้วยนะ เพราะค่าไกด์ ทีมงานคนขับ รวมถึงมื้อเช้าแบบเรียบง่าย จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราว 600-1000 บาท แล้วแต่จำนวนคน ซึ่งขอบอกว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะขับรถไปเองไม่มีทางได้แน่นอน ครั้นจะเดินแบกมื้อเช้าขึ้นไปเองก็ทำได้ยาก ใครที่สนใจก็สามารถติดต่อได้ที่ http://www.gunungsilipat-cbt.com/ หรือ https://web.facebook.com/GunungSilipatThailand/?_rdc=1&_rdr
Sky Walk อัยเยอร์เวง
ที่นี่ถือเป็นความครื้นเครงของนักท่องเที่ยว เพราะแต่ละคนที่มาเยือนจะมีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือไม่บางคนก็แอบกรี๊ดเบาๆ เพราะเขามี Sky Walk หรือระเบียงกระจกลอยฟ้า ที่คนกลัวความสูงต้องเสียว ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนเลือกที่จะมาที่นี่เป็นที่แรกในตอนเช้าเพื่อชมทะเลหมอก แต่เราเลือกที่จะมาเที่ยวหลังจากที่ลงมาจากเขาทะเลหมอก ฆูนุงซีลีปัต ซึ่งก็มาถึงในช่วงสายมากแล้ว ทำให้ทะเลหมอกหายไป แต่วิวก็ยังคงสวยงามมาก เพราะได้มองเห็นทิวเขาสวยงาม
ซึ่งก็ถือว่าสวยกว่าภาคเหนือของไทยอีกนั่นแหละ จากที่เราเคยไปเที่ยวมาแล้วหลายจังหวัด ดูจากภาพก็คงคิดเหมือนกันใช่มั้ย Sky Walk ที่นี่มีทั้งหมด 6 ชั้น มีลิฟท์ให้ขึ้น หรือใครจะเดินก็ได้ ส่วนทางเดินลอยฟ้าจะตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ทอดยาวออกไป เหมือนคุณกำลังเดินอยู่บนทิวเขาตรงหน้า ให้เพื่อนถ่ายรูปลงมาจากชั้น 6 ถือเป็นไฮไลท์ที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเบตง
น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 สวยจนหายเหนื่อย
ต้องบอกว่าที่จริงเราแอบเหนื่อยจาก 2 ที่เที่ยวครึ่งวันเช้ากันมาประมาณหนึ่ง แต่มีคนแนะนำว่า ไม่ควรพลาดมาชมน้ำตกที่นี่เด็ดขาด ซึ่งกว่าจะเข้ามาถึง เราก็แอบขับรถหลงเข้าไปในสวนของชาวบ้านละแวกนั้นอยู่นาน ก็ด้วยเจ้า GPS นำทางที่เราเชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ในที่สุดก็หาเจอ น้ำตกที่นี่มีทั้งตอนบน และตอนล่าง เราแนะนำให้คุณมาเที่ยวที่น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตอนล่าง เพราะความสวยงามของมันจะทำให้คุณตาค้าง และหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ช่วงที่เราเดินทางกันไปคือช่วงเดือนกันยายน น้ำยังคงไหลแรง และระดับน้ำก็ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป ให้เราพอได้เดินเข้าไปสัมผัสความสวยงามนี้ได้แบบใกล้ชิด
ถ่ายรูปชิคๆ กับ Street Art เบตง
เชื่อไหมว่ามาเบตง เหมือนเราไม่ได้เดินในดงคนไทย แต่เหมือนหลงไปในต่างประเทศ ความรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยว สิงคโปร์ มาเลเซีย อะไรทำนองนั้น เพราะเขานำเอากำแพงอาคารบ้านเรือนมาเปลี่ยนเป็นงานศิลปะที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวเมืองอย่างมาก โดยเรื่องราวภาพ Street Art ทั้งหมดที่เราจะได้เห็น คือการบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของผู้คนในเมืองเบตงออกมาผ่านภาพวาดบนกำแพงได้อย่างชัดเจน น่ารัก และสวยงาม การได้เดินถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ก็เหมือนได้เดินชมวิถีชีวิตของคนในชุมชนเมืองเบตงไปพร้อมๆ กัน
เบตง ต้องกินอะไร?
ร้านอาหารจีนในตำนาน…ต้าเหยิน
ถามใครๆ ว่ามาเบตงต้องกินอะไร ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้าเหยิน เพราะร้านนี้คือร้านอาหารจีนของพ่อกิตติ เจ้าของร้านผู้สู้ชีวิต ที่มีเรื่องราวปนเปข้อคิด ให้ลูกหลานได้นำมาต่อยอดในการใช้ชีวิตได้อย่างดี ที่นี่โด่งดังที่สุดในโลกเบตง และมาเลเซีย อาหารทุกจาน น้ำดื่มสุขภาพ ผ่านการคิดค้นจากสมองของพ่อกิตติ และเชฟผู้ล่วงลับ ที่ฝ่าฟันทุกวิกฤตกันมาหลายทศวรรษ
แม้ว่าเราจะไม่ชอบอาหารจีนสักเท่าไหร่ แต่รู้มั้ยว่า ไก่เบตง ยังคงประทับจิตประทับใจมาจนตอนนี้ รวมถึงหมั่นโถ และหมูแดงชิ้นโต ที่เข้ากันดีซะเหลือเกิน
ข้างๆ พ่อ นั่นก็ลูกสาวคนโต หรือพี่เล้ง ผู้นำเสนอเมนูหมูแดงหมั่นโถให้พวกเรานั่นแหละ ทุกคำพูดของพี่เค้า ไม่มีการโอ้อวดใดๆ ในการเป็นร้านอาหารจีนที่ยิ่งใหญ่ในโลกเบตงเลย หลายครั้งในเรื่องเล่าของบทสนทนา พ่อแหลงใต้ เราสนุกมาก เพราะเราก็ลูกคนใต้ เราฟังออกทุกคำ
ก็นั่นแหละ นอกจากอรรถรสในการกินเมนูอร่อยๆ ก็คืออรรถรสในการฟัง การที่เราค่อยๆ พูดคุยถึงประวัติความเป็นมาอันน่าทึ่งของครอบครัวนี้ ซึ่งเมนูแนะนำก็ตามภาพเลยค่ะ
อาฟะ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแคะสูตรต้นตำรับ
อีกหนึ่งเมนูที่พลาดไม่ได้ เมื่อมาเบตง ก็คงเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแคะ ซึ่งร้านที่จะต้องแวะก็คือร้านอาฟะ สูตรต้นตำรับ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดินเล่นไปเรื่อยๆ ตามซอกซอย Street Art ก็จะเจอ ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ รุ่นลูกที่สืบทอดสูตรความอร่อยมาเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว สำหรับใครที่เป็นคอลูกชิ้นแคะ ร้านนี้คือของแท้ เขาเลือกใช้ปลากรายมาทำลูกชิ้น มันจะมีความเด้งเหนียวหนุบหนับฉบับความอร่อยของร้าน จะเลือกเป็นเส้นหมี่เหลืองเบตง หรือเส้นอื่นๆ แบบแห้งหรือน้ำ ก่อนรับประทานก็ให้ลองราดพริกน้ำส้มสูตรลับเฉพาะลงไปสักนิด รับรองอร่อยจนอยากจะซื้อแฟรนไชส์กลับบ้าน
น้ำแข็งใสร้านเหลือง
กินคาวต้องอยากกินหวาน เป็นอาการที่ใช้ได้ตลอดไปในทุกมื้อ และแน่นอนว่าของหวานร้านดังขึ้นชื่อของเบตง คือน้ำแข็งใสร้านเหลือง อยู่ในตัวเมือง และเลื่องชื่อมากทั้งในกลุ่มนักทั้งเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ เปิดขายมายาวนานกว่า 20 ปี ดูหน้าตาเหมือนจะธรรมดา แต่เรื่องรสชาติแตกต่างชัดเจน ด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้นที่ทำมาจากน้ำตาลอ้อย เคี่ยวจนคล้ายคาราเมล ทำให้มีกลิ่นหอมไม่เหมือน้ำเชื่อมที่ไหน ราดลงไปบนน้ำแข็ง ส่วนเครื่องเคราเราเลือกได้ตามใจชอบ
ติ่มซำมื้อเช้าที่ไทซีฮี้
มื้อเช้าสไตล์คนเบตงต้องแต้เตี้ยม หรือติ่มซำ ซึ่งร้านดังของที่นี่ ที่มีผู้คนเข้ามานั่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ทั้งขนมจีบ ซาลาเปา บะจ่าง ฮะเก๋า ก๋วยเตี๋ยวหลอดแสนอร่อย กาแฟ น้ำชา สไตล์จีน ฯลฯ เรียกว่าตั้งแต่เช้ามืดยันฟ้าสาง ลูกค้าไม่จางเลยตลอดเวลาที่เปิดร้าน ใครอยากสัมผัสอาหารเช้าสไตล์คนเบตงแท้ๆ ก็ห้ามพลาดแวะมาร้านนี้ ซึ่งเป็นร้านที่เรายอมตื่นแต่เช้า เพื่อไปกินก่อนที่จะจบวันสุดท้ายของทริปได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งที่กิน ที่เที่ยว
วัฒนธรรมการกินของคนเบตง แตกต่างจากเมืองกรุงของเราสักหน่อย ตรงที่ทุกๆ ร้านส่วนใหญ่จะเปิดตั้งแต่เช้าตรู่ ตีสี่ ตีห้า และปิดไม่เกินบ่ายสอง แล้วจะกลับมาคึกครื้นใหม่ในช่วงตะวันตกดิน ถือเป็นเมืองที่ไม่เงียบเหงา มีสีสันความสนุกให้เราได้ตลอดทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยว อาหารการกิน รวมไปถึงมิตรภาพของผู้คนในเมืองนี้ ทำให้เบตง กลายเป็นอำเภอที่ไม่ว่าใครได้มาเยือน ก็รู้สึกหลงรัก จนอยากกลับมา เที่ยวเบตง อีกครั้ง
*การเดินทางตรงมายังเบตง
มีเพียงสายการบินเดียวที่บินตรงเบตง คือสายการบินนกแอร์ ซึ่งจะมีเพียงวันละ 1 รอบ ทุกวันอังคาร ศุกร์ และอาทิตย์
กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – เบตง เที่ยวเวลาออก 10.00 – 11.45
เบตง – กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) เที่ยวเวลาออก 12.15 – 14.00
เรื่อง : สัญชวัล จินดารัศมี
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ได้ที่ www.grandprix.co.th