เปิดการผจญภัยยุคใหม่ Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งข้ามทวีป 16,000 กม.
ในสมัยก่อนหากพูดถึงการผจญภัยแบบ Off Road หลายคนจะนึกถึงภาพรถกระบะยกสูง และเครื่องยนต์ใหญ่แรงๆ แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว หลังจาก Marek Kaminski นักผจญภัยชาวโปแลนด์ ขับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Nissan Leaf พิชิตเส้นทาง 2 ทวีป 16,000 กิโลเมตร ในเวลา 60 วัน #NoTraceExpedition
การผจญภัยครั้งนี้เริ่มต้นด้วยความมุ่งมั่นของ Marek Kaminski ที่จะสร้างการเดินทางโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลังหรือปราศจากการสร้างมลพิษด้วยการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นพาหนะ ภายใต้โปรเจ็กต์ “No Trace Expedition” เพื่อเป็นแนวทางให้นักผจญภัยคนอื่นๆ ที่อยากออกสำรวจโลกกว้างหันมาให้ความสำคัญต่อการรักษาสภาพแวดล้อมของโลก
Kaminski ที่เคยได้รับการบันทึกชื่อในฐานะมนุษย์คนแรกที่เดินทางสู่ขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ภายในปีเดียวกัน ทำให้โปรเจ็กต์ผจญภัยร่วมกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Nissan Leaf ไม่ได้สร้างความหนักใจอะไรกับเขา ถึงจะต้องขับลุยเดี่ยวจากเมืองซาโคโปเน่ ทางตอนใต้ของประเทศโปแลนด์ บนสภาพเส้นทางที่แตกต่างของ 8 ประเทศใน 2 ทวีป ตั้งแต่ลิทัวเนีย, เบลารุส, รัสเซีย, มองโกเลีย, จีน, เกาหลีใต้ และจุดหมายปลายทางสุดท้ายที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น รวมระยะทางทั้งหมด 16,000 กิโลเมตร
“สำหรับผมการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การไปสู่จุดหมายที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างแบบอย่างของความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะสร้างความยั่งยืนในระยะยาว” นักผจญภัยสายเลือดโปลวัย 54 ปี เผยความรู้สึกหลังจบการเดินทาง ก่อนที่เขาจะขับ Leaf คันเดิมย้อนเส้นทางเดิมกลับสู่บ้านเกิดอีก 16,000 กิโลเมตร “ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางกลางป่าที่รัสเซีย, ความเวิ้งว้างบนทางโคลนของมองโกเลียหรือความพลุกพล่านของผู้คนบนท้องถนนในโตเกียว Leaf กลายเป็นเหมือนคู่หูที่เชื่อใจได้เสมอ”
ความจริงจุดเริ่มต้นของ No Trace Expedition เกิดขึ้นตั้งแต่ Kaminski สามารถพิชิต 2 ขั้วโลกในปี 1995 โดยเขามีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการผจญภัยที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของโลกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เมื่อได้ไปยืนบนขั้วโลกทั้งสองด้าน ผมได้เห็นความบริสุทธิ์ ปราศจากทุกสิ่งเป็นโลกสีขาวที่ไร้มลพิษใดๆ” Kaminski ให้สัมภาษณ์ระหว่างแวะพักที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน “ในตอนนี้มีนักผจญภัยเพียงไม่กี่คนที่ขับรถยนต์ไฟฟ้าออกเดินทางไกลต่อเนื่องกว่าหมื่นกิโลเมตรแบบนี้”
ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของการผจญภัยครั้งนี้คือการหาจุดชาร์จไฟให้ Leaf โดยตามมาตรฐานหากมีกำลังไฟ 3 กิโลวัตต์จะใช้เวลาชาร์จ 16 ชั่วโมง แต่จะลดเหลือครึ่งเดียวหากสามารถหาปลั๊กที่จ่ายไฟ 6 กิโลวัตต์ “ความมั่นใจ และระยะทางการขับของรถเป็นเรื่องแรกที่ผมให้ความสำคัญ” Kaminski พูดถึงการเตรียมความพร้อม หลังจากต้องอาศัยไหวพริบดัดแปลงการชาร์จไฟระหว่างเส้นทางผ่านรัสเซีย
ภายใต้มาตรฐานทดสอบ JC08 ของประเทศญี่ปุ่น Nissan Leaf เจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2017 ใช้ระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า e-powertrain ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีศักยภาพกักเก็บพลังงานที่ดีขึ้นมีกำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (ราว 147 แรงม้า) เพิ่มขึ้น 38 เปอร์เซ็นต์จากเจเนอเรชั่นแรก และแรงบิด 320 นิวตันเมตร ทำให้รถวิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง
อีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การเดินทางประสบความสำเร็จเป็นระบบ ProPILOT หนึ่งในเทคโนโลยีอัจฉริยะ Nissan Intelligent Mobility ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการขับบนเส้นทางที่ยาวไกล โดย Kaminski พูดถึงความล้ำสมัยนี้ว่า “การที่รถยนต์รุ่นนี้ติดตั้งระบบช่วยเหลืออย่าง ProPILOT สร้างความประทับใจเมื่อต้องขับบนเส้นทางยากลำบาก ผมมีโอกาสได้ลองใช้ และมันก็ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกสภาพถนนของการผจญภัยครั้งนี้ ทั้งการช่วยประหยัดพลังงานหากต้องขับระยะทางไกล แน่นอนว่าผมยังคงเลือกที่จะควบคุมรถด้วยตัวเอง แต่จะเปิดใช้ระบบ ProPILOT ในเวลาที่ต้องการพักบ้างเท่านั้น”
“หากจะเปรียบเทียบรถยนต์ที่ใช้พลังงานรูปแบบใหม่ขับเคลื่อนกับรถยนต์ใช้น้ำมันแบบดั้งเดิม คงจะเหมือนการนำสมาร์ตโฟนในตอนนี้ไปเปรียบเทียบกับโทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อ 20 ปีก่อน ผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดของอนาคต บางทีในปีหน้าผมอาจจะขับ Nissan Leaf ข้ามผ่านดินแดนที่หนาวสุดขั้วของไซบีเรียสักรอบหนึ่ง” Kaminski กล่าวทิ้งท้ายเป็นบทสรุปการผจญภัยรอบล่าสุด แต่คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของเขาอย่างแน่นอน
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: newsroom.nissan-global.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th