เอ๊ะ วนิดา ไบค์เกอร์คนสวย กับปิกอัพ และบิ๊กไบค์คันโปรด
“ถ้ารถยนต์เปรียบเสมือน ‘น้ำ’ ที่เราต้องดื่มทุกวัน มอเตอร์ไซค์ก็เปรียบเสมือน ‘อากาศ’ ที่เราขาดไม่ได้”
เอ๊ะ – วนิดา เสือส่วน ให้คำนิยามสำหรับ Her Machine ไว้ได้อย่างเห็นภาพ หลายคนมีมุมมองต่อสิ่งที่รักแตกต่างกันไป ซึ่งสำหรับผู้หญิงหน้าหวานคนนี้ สิ่งที่รักอาจจะดูขัดจากบุคลิกของเธอไปสักหน่อย แต่นั่นคือสิ่งที่ช่วยสร้างความสุขให้กับชีวิตของเธออย่างที่ขาดไม่ได้ นอกจากจะเป็นคุณแม่ลูกสอง เธอยังเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารเวียดนาม ไทย อีสาน ที่มีออเดอร์เข้ามาไม่ขาดสายในย่านพัทยา และที่สำคัญเธอเป็นนักแข่งสมัครเล่น ที่มีใจรักการแข่งมอเตอร์ไซค์ไม่แพ้ใจของเหล่ามืออาชีพอีกด้วย
จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจการแข่งรถ
มันเริ่มจากความชอบ ส่วนตัวรู้สึกชอบบิ๊กไบค์มาตั้งแต่เด็กๆ คิดว่าถ้าสักวันมีโอกาส ก็อาจจะซื้อเก็บไว้ ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าจะมีโอกาสได้ขี่มอเตอร์ไซค์ หรือใช้ชีวิตแบบไหน อาจจะใช้ขี่บนถนนปรกติทั่วไป หรือได้เข้ามาลงขี่ในสนาม ซึ่งจริงๆ ต้องบอกว่า เรื่องการลงสนามแข่งนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดเลย แค่รู้สึกว่าได้ครอบครองเขา ได้ขี่เข้าในชีวิตประจำวัน ไปออกทริป แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
สมัยนั้นบิ๊กไบค์ยังไม่มีในบ้านเรา หาซื้อยากมาก จนบิ๊กไบค์เริ่มมีเข้ามาขาย เมื่อ 6 ปีก่อน เลยลองดู คันแรกที่ได้มาคือ Benelli 600 เป็นรถ 4 สูบ ตอนนั้นขับรถยนต์เล่นกับลูก ผ่านโชว์รูม เราเห็นมี Ducati ขาย ซึ่งเราก็เริ่มเห็นมีคนขับ Ducati เพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะในสมัยนั้น เลยแวะเข้าไปดู แต่เราไม่ได้จอง Ducati นะ แต่ไปจอง Benelli 600 4 สูบ แทน เข้าไปจองแบบไม่ได้มีข้อมูลอะไรเลย แค่เข้าไปคุยกับพนักงานขายเฉยๆ แค่คิดว่าราคาไม่แรง แล้วถ้าใช้ไปแล้วไม่ชอบเขา เราก็ปล่อยต่อได้เลย
เคยขี่บิ๊กไบค์มาก่อนหรือไม่
ก่อนซื้อคันนี้ เราไม่เคยขับบิ๊กไบค์มาก่อน พอได้มา เริ่มขี่ คุ้น ชิน ขี่ไปไหนมาไหนคนเดียว ตอนนั้นยังไม่มีกลุ่มด้วยซ้ำ เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็เริ่มปรับตัวเข้าหา ซีซี รถได้ดี หลังจากนั้นก็เริ่มเล็งหาตัวอื่น ที่ใหญ่ขึ้น ก็เลยกระโดดไปหา Kawazaki Z1000 เลย หลังจากที่ออก Benelli 600 มาได้ 5 เดือน พอมาใช้ Z1000 ก็เริ่มมีกลุ่ม เป็นแกงค์สาวๆ ที่ไปขี่เล่นกันไปตามร้านกาแฟ ทริปท่องเที่ยวใกล้ๆ ขี่คันนี้มาได้ 3 เดือน ก็ไปออก Honda Repsol เพราะเราอยากรู้ว่าความรู้สึกของสปอร์ตเป็นยังไง
แต่ตอนที่ไปซื้อ Kawazaki มาได้มีโอกาสไปเรียน เบสิกคอร์ส ขยับคลาสไปเรื่อยๆ เป็นแอดวานซ์ ได้ลงมาเรียนในสนาม แล้วรู้สึกชอบมาก ก็เลยได้ถอย Honda Repsol ออกมาอีกคัน แล้วก็ใช้มาลงในสนาม พอเราได้เอาสปอร์ตมาลงสนาม มันก็สนุกไปอีกแบบ เริ่มมีอาจารย์มาสอนเทคนิกต่างๆ ในสนาม คราวนี้เรายิ่งสนุก หลังจากนั้นเริ่มหาเพื่อนมาลงสนาม เพราะเรามีความสุขมากทุกครั้งที่ได้ลงสนาม แรกๆ มาสนามคือมาคนเดียว เพราะกลุ่มผู้หญิงที่เราออกทริปด้วยเขาก็จะเน้นการขับรถเที่ยวมากกว่าการมาลงในสนามจริง
พอเริ่มชินกับการลงสนาม เราก็เริ่มซื้ออุปกรณ์ ชุดต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อความพร้อม แต่เรายังขาดความรู้เรื่องรถที่ใช้สำหรับลงสนามจริงว่าต้องเป็นแบบไหน เซ็ตรถยังไง เราไม่รู้เลย เรารู้แค่ว่าเราสนุก จากความคิดที่ว่ารถออกมาจากศูนย์คือดีที่สุด เราไม่ต้องไปปรับแต่งอะไร จนเริ่มมาเจาะลึกจริงๆ ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่เราคิดตอนแรกนั้น มันไม่ถูกหลักเลย เพราะรถที่ใช้ในสนาม ต้องใช้ความเร็ว แต่เรามั่นใจ เพราะขี่มอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยล้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนมาล้มในสนามนี้
เจ็บไม่จำ เพราะความรัก
จำได้แม่นว่ามาขี่แทร็กเดย์ ปรกติ เราเก็บคันอื่นได้ ใช้ความเร็วได้ แต่รถเราไม่เคยแต่งอะไรเพิ่ม โช้คไม่เคยเซ็ต ลมยางไม่เคยดู เพราะเราไม่รู้ แค่รู้สึกว่าขี่ได้ เข่าเช็ดพื้นได้ เก็บคนอื่นได้ มันรู้สึกสนุก แต่ไม่ใช่การหึกเหิมว่าเอาชนะคนอื่นได้นะ แต่มันเหมือนกีฬาที่เราสนุกไปกับมัน เริ่มมั่นใจ จนสุดทางตรง เราแบนเข้าโค้ง แล้วก็ล้ม หลุดโค้งจนไหปลาร้าหัก หลังจากนั้นกลัวมาก ถึงได้เข้าใจว่าคนที่รถล้มแล้วขยาดการขี่รถไปเลย เขารู้สึกยังไง
ขนาดเอารถไปซ่อม กลับมาลองขี่บนถนนปรกติ ก็ยังกลัวมาก ตอนนั้นคิดว่าจะทำยังไงดี เพราะเรารู้สึกว่าเรายังรักในการขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ กระทั่งผ่านไปประมาณเดือน ลองกลับมาขี่ แต่ก็ยังแหยงๆ อยู่ แล้วอาจารย์ที่สอน เขาก็ชวนมาทำทีมด้วยกัน เพราะโซนภาคตะวันออกยังไม่มีผู้หญิงที่ขี่เลย อาจารย์เขาก็สอนเรามาตลอด ทำให้ความมั่นใจค่อยๆ กลับมา ที่สำคัญเราอยากกลับมาเอาชนะความกลัว หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนละคน เป็นการขี่โดยมีสติ และรู้ว่าจะต้องควบคุมรถให้อยู่ จะไม่ขี่แบบเอาแต่สนุกอย่างเดียว ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่มืออาชีพ แต่เรารักในสิ่งที่เราทำตรงนี้ ก็จะขี่แบบระวัง ไม่เน้นใช้ความเร็ว
Yamaha R1 คันล่าสุด
ล่าสุดคือเราเปลี่ยนมาเป็น Yamaha R1 คันปัจจุบัน แต่เหมือนเราเป็นมือใหม่เลย มาปรับทักษะ ความคิด และความรู้สึกใหม่ ใช้เวลาประมาณหนึ่งปีในการปลดล็อกตัวเอง ปรับรถให้พร้อม และเหมาะสมกับการใช้งาน คิดแค่ว่าต้องปลอดภัย ไม่ต้องใช้ความเร็วมากมาย
หลังจากนั้นก็มาเริ่มลงแข่งสนามแรก เป็น Yamaha Championship ที่สนามพีระ แล้วเราเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม R1 ซึ่งเราขี่ในลักษณะที่ไม่ได้คิดว่ามาแข่งกับใคร และจะต้องได้อันดับ 1 แค่หาประสบการณ์ จนสรุปสนามแรกเราติด 1 ใน 5 มันถือเป็นความฟลุกมากกว่า ต่อจากนั้นมาอีกปี ก็มาลงแข่ง และคนลงแข่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหลายเท่า เราก็ยังติดอยู่ในอันดับที่เราโอเค เพราะทุกครั้งที่แข่งไม่ได้คาดหวัง เพราะเคยคาดหวังแล้วมันเป็นการกดดันตัวเองเกินไป เลยมาเปลี่ยนมุมมองใหม่ ว่าเราไม่ได้เป็นนักแข่งมืออาชีพ เราแค่ทำมันเพื่อความสุข
ผู้หญิง กับรถปิกอัพ
เรียกว่าเป็นความผูกพันกับรถประเภทนี้ ด้วยเริ่มแรกหัดขับเลยก็ใช้ปิกอัพเกียร์กระปุกนี่แหละค่ะ เพราะรู้สึกว่าขนอะไร ใส่อะไรก็ได้ ใช้งานง่าย ไม่ต้องระวังอะไรเยอะ หลังจากนั้นเริ่มมาเปลี่ยนเป็น SUV, PPV เป็น VAN แต่สุดท้ายก็ยังต้องใช้ปิกอัพควบคู่กันไปอยู่ดี เลยคิดว่าเรามาเลือกใช้ปิกอัพแบบนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะมันลุยได้หมด ถ้าเป็นรถเก๋ง เราจะต้องมานั่งระวัง มุมมองการขับก็ไม่ได้ แต่ปิกอัพมุมมองในการขับมันได้ แรกๆ เราไม่คุ้นชินกับเกียร์ออโต้เท่าไหร่ แต่ด้วยความที่รถติดในบ้านเรา เกียร์กระปุกไม่น่าจะเหมาะ
แพ้ความหล่อของ Ford Ranger
ที่เลือก Ford Ranger คันนี้ เพราะชอบรูปลักษณ์ เขาหล่อ แต่งอะไรออกมาก็เท่ ดูลุยๆ ดี เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และบุคลิกของเรา คือถ้าจะให้เลือกระหว่างรถเก๋งกับปิกอัพ เราเลือกปิกอัพแน่ๆ คันนี้เพิ่งออกมาไม่ถึงปี ชอบมาก เหมาะกับเรา สมบุกสมบันได้ ไม่ต้องดูแลอะไรเยอะ แล้วเราเอามอเตอร์ไซค์ขึ้นหลังกระบะได้เลย ซึ่งก่อนหน้านี้จะเอารถไปแข่งทีนึง ก็ต้องเรียกรถสไลด์ไป พอเป็นคันนี้เราก็ขนรถเราขึ้นไปได้เลย
เปรียบรถเป็นอะไรในชีวิต
สำหรับมอเตอร์ไซค์นี่เป็นสิ่งที่เรารักมาก ทั้งๆ ที่เราอยากจะเลิกขี่เขาแล้ว แต่เราเลิกไม่ได้ ยังอยากอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะไม่มีแรงขี่ แต่สำหรับรถยนต์เราก็ขาดไม่ได้ เหมือนน้ำที่เราต้องดื่มทุกวัน เหมือนข้าวที่เราต้องกิน และมอเตอร์ไซค์ ก็คงเหมือนลมหายใจเลยนะ ลูกๆ ถามว่าแม่จะขี่ไปถึงเมื่อไหร่ ก็จะตอบเขาว่ามันคือสิ่งที่แม่รัก และยังอยากขี่ไปทุกๆ วัน มันคือความสุข ที่ยังพอให้เรามีอะไรทำในเวลาว่างได้ พอถึงวันหยุด จะให้นอนพักอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ ถึงวันหยุดทีไรก็อยากออกไปขี่ ไม่เคยรู้สึกขี้เกียจที่จะออกไปขี่มอเตอร์ไซค์เลย
ฝากถึงคนใช้รถใช้ถนน
อยากให้ใช้ความเร็วอยู่ในลิมิต เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ต้องมีสติให้มาก และนึกถึงเพื่อนร่วมทางด้วย ถ้าเรามีสติ และมีสมาธิตลอดเวลา ก็จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน มันคือความรับผิดชอบที่ควรมีค่ะ
เรื่อง : กองบรรณาธิการ
ภาพ : Chubby Driver
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRAND PRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th