โตโยต้า คว้า 7 รางวัล “รถยอดเยี่ยมแห่งปี”
ยังคงเป็นอีกปีที่ TOYOTA YARIS ATIV 1.2S ได้แสดงศักยภาพอันยอดเยี่ยมให้คณะกรรมการตัดสินใจ Thailand Car of The Year 2019 ได้ประจักษ์ในคุณภาพของยนตรกรรม Eco Car ที่มากับคุณสมบัติ “ครบเครื่อง”
และเหมาะสมกับรางวัล BEST SEDAN UNDER 1,300 c.c.
BEST SEDAN UNDER 1,300 c.c.
TOYOTA YARIS ATIV 1.2S
ซึ่งความ “ยอดเยี่ยม” ที่ยังคงสร้างประทับใจ ได้ถูกอัดแน่นอยู่ในตัวถังรูปแบบ Compact Sedan ที่ปูพรมด้วยงานดีไซน์สปอร์ตสุดล้ำ ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก และห้องโดยสารภายใน พร้อมด้วยการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ภายใต้รหัส 3NR-FE พิกัด 1.2 ลิตร ที่มากับเทคโนโลยีวาล์วแปรผัน DUAL VVT-i และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิง
แบบอิเล็กทรอนิกส์ EFI เพื่อให้กำเนิดพละกำลังสูงสุด 86 แรงม้า พร้อมแรงบิด 108 นิวตันเมตร และเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลัง ทั้ง “สมรรถนะ” และความ “ประหยัด” อันเกิดจากความสามารถในการรองรับเชื้อเพลิงระดับ E20 และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งการันตีตัวเลขเอาไว้ที่ 20 กม./ลิตร
ในขณะที่อีกหนึ่งจุดเด่นของ TOYOTA YARIS ATIV 1.2S ซึ่งสร้างความ “เหนือชั้น” และ “คุ้มค่า” คือ เรื่องของระบบความปลอดภัย อันเริ่มจากโครงสร้างตัวถัง GOA หรือ Global Outstanding Assessment มาตรฐานระดับโลก ตามด้วยการหยิบยกเอาออปชันจากยนตรกรรมระดับพรีเมียมในค่าย มาติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ถุงลมนิรภัย SRS ที่มีมาให้ 7 ตำแหน่ง ประกอบด้วย ด้านหน้า, ด้านข้าง, ม่านด้านข้าง และเข่าด้านคนขับ
ตามมาด้วยฟังก์ชันสุดล้ำ อย่างระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC- Hill Start Assist Control, รวมถึงระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC- Traction Control, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC- Vehicle Stability Control ไปจนถึงระบบพื้นฐานอย่างระบบเบรก ABS- Anti-lock Braking System ที่พกพาตัวช่วยมาเพิ่มเติม ทั้งระบบกระจายแรงเบรก EBD- Electronic Brake force Distribution และระบบเสริมแรงเบรก BA- Brake Assist ทั้งยังรวมไปถึง กล้องมองหลัง และระบบสัญญาณเตือนสิ่งกีดขวางขณะถอยหลัง
โดยทั้งหมด คือ ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ TOYOTA YARIS ATIV 1.2S ได้รับการประทับตราผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP ไปครอบครอง รวมถึงเป็นแรงสนับสนุนที่ประกอบด้วยความเป็นเลิศด้านสมรรถนะที่ตอกย้ำถึงความเหมาะสมกับกับรางวัลที่ได้รับไปอีกครั้งในปีนี้ กับสาขา BEST SEDAN UNDER 1,300 c.c.
BEST HYBRID MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c.
TOYOTA CAMRY 2.5 HV Premium
TOYOTA CAMRY คือ รถยนต์นั่งระดับเรือธงที่ยังคงได้รับกระแสนิยมจากผู้บริโภคชาวไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่การนำเจนเนอเรชันที่ 4 มาเปิดตัวในเมืองไทยเป็นครั้งแรก ก่อนจะโหมกระแสความร้อนแรงในฐานะผู้ “บุกเบิก” ยนตรกรรมระบบ Hybrid ในปี พ.ศ. 2552 เพื่อต่อยอดสู่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Hybrid เต็มขั้น บนบรรทัดฐานแห่งความล้ำสมัยอันสมบูรณ์แบบ ด้วย The All-New CAMRY อันมีพระเอกหลักเป็น TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium ตัวแทนแห่งความเป็น “ที่สุด”
โดยถือความโดดเด่นในเทคโนโลยีมานำเสนอ ภายใต้คอนเซปต์ Soul Striking Luxury ด้วย “แรงบันดาลใจ” จากแนวคิด “Unprecedented Change” เพื่อสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่เหนือกว่าแค่ “ตอบสนองความต้องการในการใช้งาน” ตั้งแต่ฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่ชื่อ ระบบ T-Connect Telematics เพื่อให้ผู้ใช้และรถ เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว
ด้วยฟังก์ชันที่ทำให้ชีวิตมีความง่าย และปลอดภัยยิ่งขึ้น เช่น ระบบ Geo-Fencing สำหรับทำหน้าที่แจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบริเวณที่กำหนด, ระบบ Find My Car ทำหน้าที่เช็กตำแหน่งรถผ่านแอปพลิเคชัน, ระบบ Parking Alert ที่จะแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ทหรือเคลื่อนที่, ระบบ Stolen Vehicle Tracking ระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม, ระบบ OPS (Operator Service) ผู้ช่วยค้นหาเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจองร้านอาหารชั้นนำ, ระบบ SOS Emergency Service ในการประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบ Pay As You Drive ที่เกี่ยวกับเรื่องประกันภัย อย่างการ “ขับน้อย จ่ายน้อย”, ระบบ Navigator ที่จะช่วยนำทางพร้อมแสดงข้อมูลจราจร และระบบ My Toyota Wi-Fi ที่สามารถเชื่อมต่อทุกความบันเทิงได้พร้อมกันสูงสุดถึง 9 อุปกรณ์
และไม่ใช่เพียงแค่ “ออปชัน” เท่านั้นที่ส่งให้ TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium คว้ารางวัลไปในปีนี้ หากแต่
ยังรวมถึงองค์ประกอบในเรื่อง “สมรรถนะ” แห่งการขับเคลื่อนที่ก้าวไปอีกขั้น อันเกิดจากเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ในชื่อ TNGA- Toyota New Global Architecture ที่มีการออกแบบองค์ประกอบรถยนต์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ ด้วยจุดเด่นหลักๆ อย่าง Body Rigidity ที่เพิ่มความมั่นคงของรถจากโครงสร้างตัวถังที่ใช้วัสดุเหล็กอันแข็งแรง ควบคู่ไปกับการเพิ่มจำนวนจุดเชื่อมตัวรถ (Spot Welding) ในบริเวณจุดรองรับแรงบิดที่จะส่งผลต่อตัวถัง ทั้งยังรวมถึงการทำให้มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง Low Center of Gravity เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว และเกาะถนน ตามด้วยการออกแบบตัวรถให้เหมาะกับสรีระผู้ขับขี่ พร้อมด้วยการปรับเซตพวงมาลัย และระบบช่วงล่าง Double Wishbone Suspension ใหม่ เพื่อให้สามารถสื่อสาร “สมรรถนะ” ซึ่งออกแบบให้ลงตัวกับโครงสร้างของรถยนต์อย่างเต็มอรรถรส
ซึ่งอีกหนึ่งความพิเศษของ TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium ก็คือ “สมรรถนะ” ที่ถูกดีไซน์ให้มีความลงตัวกับระบบ 4th Generation Hybrid ทำงานผสานกับเครื่องยนต์บล็อกล่าสุดในรหัส A25A-FXS VVT-iE & D-4S ที่มีระบบการเผาไหม้แบบ Atkinson Cycle และแบตเตอรี่ไฮบริดใหม่แบบ Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) ที่พัฒนาให้มีขนาดเล็กลง แต่สามารถกักเก็บประจุไฟฟ้าได้เร็วขึ้น เช่นเดียวกับการพัฒนาระบบระบายความร้อนใหม่ให้มีความทนทาน และกล่อง PCU- Power Control Unit เพื่อให้สามารถควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ 178 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ตลอดจนเรี่ยวแรงจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 88 กิโลวัตต์ และแรงบิด 202 นิวตันเมตร ผ่านระบบส่งกำลังแบบเกียร์ E-CVT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมไปถึงเรื่องของ “ระบบความปลอดภัย” ที่ TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium พกพาเทคโนโลยีระดับ World Class มาใช้ภายใต้ชื่อเทคโนโลยี Toyota Safety Sense ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System), ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert), ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) และระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams)
โดยจะทำงานควบคู่ไปกับระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ทั้ง Active Safety และ Passive Safety เช่น ถุงลมเสริมความปลอดภัย 9 ตำแหน่ง ที่เรียกได้ว่ามากที่สุดในรถระดับเดียวกัน ตามด้วยกล้องมองภาพขณะถอยหลัง พร้อมระบบ Back Guide Monitor, กระจกมองข้างปรับอัตโนมัติขณะถอยหลัง และพับเก็บอัตโนมัติ จนถึงระบบตรวจวัดแรงดันลมยางอัตโนมัติ, ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA- Rear Cross Traffic Alert), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC- Hill-start Assist Control, ระบบหน่วงแรงเบรกอัตโนมัติ และระบบเบรกมือไฟฟ้า, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง Blind Spot Monitor, สัญญาณไฟกะพริบเมื่อเบรกกะทันหัน Emergency Stop Signal และระบบควบคุมการเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-Me-Home
และนี่คือรายละเอียดแห่งการพัฒนา เพื่อสร้างคุณสมบัติของ TOYOTA CAMRY 2.5HV Premium ที่ควรค่ากับรางวัล BEST HYBRID MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 c.c. ที่ได้รับไปอย่างภาคภูมิใจจากงาน Thailand Car of The Year 2019 ในปีนี้
BEST HYBRID SUV UNDER 2,000 c.c.
TOYOTA C-HR HV Hi
TOYOTA C-HR หรือ Coupe High Rider คือ ยนตรกรรมแห่งอนาคต ที่ตอกย้ำแนวคิดในการผลิตนวัตกรรมที่ดีขึ้นยิ่งกว่า (Ever Better Car) ซึ่งรางวัล BEST HYBRID SUV UNDER 2,000 c.c. คือ สิ่งที่การันตีถึงความ “ยอดเยี่ยม” นับตั้งแต่รูปลักษณ์อันล้ำสมัย จาก Diamond Inspired Design หรือการใช้เหลี่ยมมุมของเพชรมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ “ครอสโอเวอร์” ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ความเป็นสปอร์ตคูเป้ สุดโฉบเฉี่ยวเร้าใจ
แต่นั่นยังไม่น่าประทับใจมากเท่ากับ “คุณสมบัติ” ที่เกิดขึ้นจาก 4 เทคโนโลยีสำคัญ ที่ทำให้ TOYOTA C-HR HV Hi เป็นยนตรกรรมที่เต็มไปด้วยความ “เหนือระดับ” โดยเริ่มต้นจากโครงสร้างตัวถัง “TNGA” หรือ Toyota New Global Architecture” อันเป็นสถาปัตยกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ที่เปลี่ยนทุกความรู้สึกของการขับขี่ ด้วยการมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ (Low Gravity) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนน, การทรงตัว และการเข้าโค้งที่แม่นยำยิ่งขึ้น ตามด้วยการปรับจูนระบบพวงมาลัยใหม่ (Good Handling) เพื่อให้ควบคุมรถได้ง่าย และสร้างความมั่นใจมากขึ้น เช่นเดียวกับการพัฒนาระบบช่วงล่าง (Double Wishbone Suspension) เพื่อยกระดับการดูดซับแรงสั่นสะเทือน และการเกาะถนน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ (Excellent Visibility) ด้วยการออกแบบเสา A ให้มีขนาดเล็กลง
จุดเด่นต่อมา คือ ขุมพลังที่โดดเด่น จากระบบ Hybrid เจเนอเรชันที่ 4 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ให้แบตเตอรี่มีการจัดการพลังงานดีขึ้น และมีความทนทานมากขึ้น จากการออกแบบให้ระบายความร้อนได้ดีกว่าเดิม เพื่อสร้างการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 2ZR-FXE ความจุ 1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 98 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 53 กิโลวัตต์ และแรงบิด 163 นิวตันเมตร
อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ คือ ระบบความปลอดภัยท่ี่ครบครัน ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน (ASEAN NCAP) ระดับ 5 ดาว เช่น ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ ในตำแหน่งคู่หน้า (Retractor Pre-tensioner & Load Limiter for Driver and Passenger) รวมถึงระบบแจ้งเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า (Seatbelt reminder for front passenger)
ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบ TOYOTA SAFETY SENSE ซึ่งประกอบด้วย PRE-COLLISION SYSTEM (PCS) ระบบความปลอดภัยก่อนการชน เรดาร์จะตรวจจับรถที่อยู่ด้านหน้าพร้อมทำการส่งสัญญาณเตือนและช่วยเบรก เพื่อลดโอกาสและความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ, LANE DEPARTURE ALERT (LDA) ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ, DYNAMIC RADAR CRUISE CONTROL (DRCC) ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ, AUTOMATIC HIGH BEAMS (AHB) ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ
รวมถึงระบบความปลอดภัยล้ำสมัยอย่าง ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง Blind Spot Monitor (BSM) หากมีรถอยู่ในมุมอับสายตาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยกระจกมองข้าง ระบบจะมีสัญญาณเตือนที่กระจกมองข้างด้านนั้นๆ เพื่อให้ผู้ขับระมัดระวังในการเปลี่ยนเลน และระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert (RCTA) ปลอดภัยเต็มประสิทธิภาพด้วยเซ็นเซอร์อัจฉริยะ คอยตรวจจับรถที่เคลื่อนที่ด้านหลังขณะถอยรถ โดยจะแสดงการเตือนผ่านไฟกะพริบที่กระจกข้างพร้อมเสียงสัญญาณ
ส่งท้ายด้วยความสะดวกสบายระดับพรีเมียมด้วยระบบ T-Connect Telematics นวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อให้รถ และคุณสามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วยเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กับแอปพลิเคชัน T-Connect และ Find My Car เพื่อให้บริการในรูปแบบต่างๆ เช่น ระบบ Find My Car ทำหน้าที่เช็กตำแหน่งรถผ่านแอปพลิเคชัน, ระบบ Stolen Vehicle Tracking, ระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรม, ระบบ SOS Emergency Service ในการประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบ OPS (Operator Service) ผู้ช่วยค้นหาเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบ Navigator ที่จะช่วยนำทางพร้อมแสดงข้อมูลจราจร และระบบ My Toyota Wi-Fi ที่สามารถเชื่อมต่อทุกความบันเทิงได้พร้อมกันสูงสุดถึง 9 อุปกรณ์
BEST PICKUP 2WD UNDER 2,500 c.c.
TOYOTA HILUX REVO B-cab 4×2 2.4J
นี่ไม่ใช่ยนตรกรรมที่คว้ารางวัล BEST PICKUP 2WD UNDER 2,500 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2019 ไปครอง เพราะความ “ครบเครื่อง” ฟังก์ชันความสะดวกสบาย…หากแต่เป็นเรื่องของความ “คุ้มค่า” ที่สุด เมื่อเทียบสิ่งที่ได้รับ กับค่าตัวของ TOYOTA HILUX REVO B-cab 4×2 2.4J รุ่นเกียร์อัตโนมัติ
โดย “ความคุ้มค่า” ดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นจากพื้นฐานของรถปิกอัพเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งเน้นความสามารถในการบรรทุกสัมภาระอย่างแข็งแกร่ง พร้อมแรงขับเคลื่อนที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล รหัส 2GD-FTV ในพิกัด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบไดเรคอินเจคชั่น, ระบบอัดอากาศ VN เทอร์โบชาร์จ และอินเตอร์คูลเลอร์ ที่พกพาพละกำลังสูงสุดมาให้ใช้ที่ 150 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำตั้งแต่ 1,600-2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่มาพร้อมระบบ Sequential Shift สู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมความมั่นใจในการขับขี่ที่ประกอบขึ้นจากระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ แบบแร็ค แอนด์ พิเนียน ที่ตอบสนองได้อย่างเฉียบคมในการควบคุม ไปจนถึงระบบช่วงล่างแบบ DCS- Dynamic Control Suspension ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งมีพื้นฐานด้านหน้าเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง โดยมีด้านหลังเป็นแบบแหนบซ้อน ที่ได้รับการออกแบบชุดแหนบให้ยาวขึ้น
ตามด้วยการออกแบบโช้คอัพใหม่ให้มีขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับแรงสั่นสะเทือน รวมถึงรองรับการบรรทุกหนัก และสร้างเสถียรภาพการทรงตัวขณะขับขี่ที่ดีเยี่ยม พร้อมการปิดท้ายด้วยความปลอดภัยจากระบบเบรกสมรรถนะสูงในแบบด้านหน้าดิสก์ และด้านหลังดรัม
ในขณะที่ออปชันต่างๆ นั้นถูกติดตั้งมาให้อย่างเพียงพอ สำหรับการใช้งาน เช่น ชุดไฟหน้าแบบฮาโลเจน, กระจกมองข้างปรับด้วยไฟฟ้า และใบปัดน้ำฝนที่ปรับได้ถึง 3 ระดับ จนถึงความบันเทิงจากชุดเครื่องเสียงที่รองรับ วิทยุ/ซีดี/USB รวมถึงรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth อีกด้วย
และจากองค์ประกอบของ TOYOTA HILUX REVO B-cab 4×2 2.4J
ยนตรกรรม “หัวเดี่ยว” ที่ทรงเครื่องด้วย “ความคุ้มค่า” และ “ตอบโจทย์” สำหรับการใช้งานในราคาอันเร้าใจ คือสิ่งที่สร้างความประทับใจให้คณะกรรมการตัดสินใจยกความ “ยอดเยี่ยม” ให้เอาไปครอบครอง
BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 3,200 c.c.
TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD
อีกหนึ่งปีของงาน Thailand Car of The Year 2019 ที่ TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD ได้ครอบครองรางวัล BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 3,200 c.c. ไปอย่างภาคภูมิใจ ด้วยองค์ประกอบที่ “จัดเต็ม” ซึ่งนำเสนอวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด นับตั้งแต่ลักษณะทางกายภาพที่มากับดีไซน์ล้ำสมัย ซึ่งมีการชั่งน้ำหนักอย่างลงตัว ระหว่างความหรูหราและความสปอร์ต
พร้อมด้วยจุดเด่นในเรื่องของออปชันการใช้งานที่สะดวกสบายตามสไตล์ของรถอเนกประสงค์ โดยเฉพาะไฮไลต์ใหม่ล่าสุด อย่าง ระบบ T-Connect Telematics เทคโนโลยี แห่งอนาคตที่เชื่อมต่อรถและคุณให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จากการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กับแอปพลิเคชัน เพื่อให้บริการในรูปแบบต่างๆ เช่น ระบบ Find My Car ที่คุณสามารถเช็กตำแหน่งรถได้ผ่านแอปพลิเคชัน รวมไปถึงระบบ Stolen Vehicle Tracking ที่สามารถตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์ได้ทันทีเมื่อถูกโจรกรรม, ตามด้วยระบบ SOS Emergency Service ซึ่งจะช่วยทำหน้าที่ในการประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกับระบบ OPS (Operator Service) ที่ช่วยค้นหาเส้นทางได้ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน ด้วยระบบ Navigator ช่วยนำทาง พร้อมแสดงข้อมูลสภาพการจราจร และระบบ My Toyota Wi-Fi ที่เชื่อมต่อได้มากถึง 9 อุปกรณ์
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือ “สมรรถนะ” สุดเร้าใจจากสายพันธ์เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นท็อปสุด GD Efficient Boost ในพิกัด 2.8 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ แบบแปรผัน VN Turbo ที่มีขนาดเล็กลง แต่สูงด้วยประสิทธิภาพ จากระบบควบคุมการเปิด-ปิด ครีบปรับแรงดันอากาศด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อสร้างความเร้าใจจากพละกำลังระดับ 177 แรงม้า คู่กับแรงบิดแบบ Flat Torque ด้วยตัวเลข 450 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift ตลอดจนโหมดการทำงานของเครื่องยนต์ที่เลือกได้ระหว่าง Eco Mode และ Power Mode สำหรับอัปเกรดความเร้าใจในการขับขี่
ส่วนระบบขับเคลื่อนยังเป็นไฮไลต์ที่โดดเด่นด้วยชื่อ “Sigma 4” มาพร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือก คือ แบบ 2 ล้อความเร็วสูง (H2) ที่สามารถ Shift-on-the-fly ไปเป็นแบบ 4 ล้อความเร็วสูง (H4) ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงมีโหมดสายลุยให้เลือกสนุกแบบ 4 ล้อความเร็วต่ำ (L4)
ซึ่งทำงานร่วมกับตัวช่วยแบบอิเล็กทรอนิกส์ คือ ระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC (Down Hill Assist Control) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี A-TRC (Active Traction Control) ช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่ เช่นเดียวกับการอัปเกรดระบบพวงมาลัย จากพื้นฐาน แร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง ที่ตอบสนองได้อย่างเฉียบคม และระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง กับด้านหลังแบบโฟร์ลิงก์ คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
ในขณะที่อีกหนึ่งความโดดเด่นของ TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD ก็คือ เรื่องของระบบความปลอดภัยที่จัดมาให้เต็มพิกัด อาทิ ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย 7 ตำแหน่ง ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยระบบดึงกลับและผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ ตามด้วยการเสริมความมั่นใจในการขับขี่ จากระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC- Hill-start Assist Control, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบควบคุมการทรงตัวส่วนพ่วงท้าย TSC ร่วมมือกับเทคโนโลยีพื้นฐาน เช่น ระบบเบรก ABS, ระบบเสริมแรงเบรก BA และระบบกระจายแรงเบรก EBD
ซึ่งจากคุณสมบัติทั้งหมดในเรื่องของ “สมรรถนะ” และ “ออปชัน” ที่อัปเกรดขึ้นไปอีกขั้น สู่ความเป็นรถอเนกประสงค์ระดับหรูที่ “ครบเครื่อง” อย่างแท้จริง จึงทำให้ไม่แปลกเลยที่ TOYOTA FORTUNER 2.8V 4WD จะยังคงเป็นเบอร์หนึ่งสำหรับผู้บริโภคชาวไทย จนเป็นที่ชัดเจนว่าเหมาะสม “ที่สุด” กับรางวัล BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 3,200 c.c. ที่รับไปอีกครั้งในปีนี้
BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,500 c.c.
TOYOTA HILUX REVO 2.8
รางวัล BEST FUEL ECONOMY PICKUP UNDER 3,500 c.c. ที่ TOYOTA HILUX REVO 2.8 เหมาไปอีกครั้ง ด้วยฐานะของยอดรถปิกอัพประหยัดน้ำมัน อันเกิดจากความล้ำสมัยในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดน้ำมันสูงสุด ด้วยขุมพลังดีเซล คอมมอนเรล เจเนอเรชันล่าสุดแบบ GD Efficient Boost
ซึ่งมาพร้อมการติดตั้งระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงอัจฉริยะแรงดันสูง 220 MPa เพื่อสร้างการเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบ และการเลือกใช้ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผันใหม่ (VN Turbo) ที่ก้าวไปอีกขั้นด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาทำหน้าที่ควบคุมการเปิด-ปิด ครีบปรับแรงดันอากาศ ให้สัมพันธ์กับทุกย่านความเร็วในขณะขับขี่ ทั้งยังรวมถึงการใช้ระบบวาล์วที่ออกแบบพิเศษ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานในจังหวะการเปิด-ปิด ที่มาพร้อมระบบปรับตั้งวาล์วอัตโนมัติ
รวมถึงการติดตั้งระบบ EGR- Exhaust Gas Recirculation ที่สามารถนำเอาไอเสียกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ ที่ช่วยให้สามารถลดความร้อนของเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น ทั้งยังรวมถึงการติดตั้งระบบ Stop & Start System มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมฟังก์ชัน Drive Mode Switch ที่มี ECO Mode ให้เลือกใช้ เพื่อสร้างความประหยัดน้ำมันอันน่าประทับใจ ที่ไม่ใช่แค่เพียงตัวเลขยืนยันจาก Eco Sticker เท่านั้น …หากแต่ยังรวมถึงการพิสูจน์จากสื่อมวลชน บนเส้นทางการขับขี่จริงทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ผ่านสภาพภูมิอากาศต่างๆ มากมาย จนได้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ดีที่สุด “เหนือคู่แข่ง” ในพิกัดเดียวกันอย่างแท้จริง
BEST SELLING CAR & BEST EXPORT CAR
TOYOTA
ปิดท้ายด้วยรางวัล Best Selling Car คือ อีกหนึ่งรางวัลที่คู่ควรกับแบรนด์ TOYOTA ด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์รวมในประเทศไทยที่ “ก้าวกระโดด” จากปี 2560 “ทะลุล้าน” ในปี 2561 ที่ผ่านมา กับตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์รวมในประเทศอยู่ที่ 1,039,158 คัน หรือเติบโตขึ้นถึง 19.2% และทำให้ “แบรนด์ TOYOTA มียอดขายเกินหนึ่งล้าน เป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของตลาดรถยนต์ไทย”
โดยยอดขายตัวเลขที่เพิ่มขึ้น คือ จำนวน 315,113 คัน หรือเติบโต 31.2% ซึ่งแบ่งเป็นรถยนต์นั่งจำนวน 112,394 คัน หรือเพิ่มขึ้น 16.3% และรถเพื่อการพาณิชย์ 202,719 คัน หรือเพิ่มขึ้น 41.2% รวมถึงรถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์จำนวน 177,047 คัน เพิ่มขึ้น 32.7% และทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเติบโตขึ้นเป็น 30.3%
และไม่เพียงเท่านั้น หากแต่แบรนด์ TOYOTA ยังสามารถคว้ารางวัล Best Export Car ไปครองอีกครั้งในปีนี้เช่นกัน แม้จะมีปัจจัยที่ทำให้ลดลง 1.8% กับยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในปี 2561 แต่ก็เรียกได้ว่ายังคงรักษามาตรฐานด้วยจำนวนราวๆ 293,940 คัน ที่คิดเป็นมูลค่าเงินถึง 154,560 ล้านบาท
รวมถึงการมียอดส่งออกชิ้นส่วนและเครื่องยนต์เป็นมูลค่า 119,284 ล้านบาท ทำให้มีมูลค่าการส่งออกที่นำรายได้กลับสู่ประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 273,844 ล้านบาท หรือลดลง 2.6% ขณะเดียวกัน ทำให้ในภาพรวม TOYOTA สามารถทำยอดการผลิตสำหรับการขายภายในประเทศ และการส่งออกจำนวน 588,939 คัน หรือมีการเติบโตขึ้นที่ 12.5%
พร้อมด้วยการคาดเดาแนวโน้มในปี 2562 ที่จะได้รับการตอบรับอันดี และสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา คือ 1,000,000 คัน ด้วยปัจจัยสำคัญ เช่น การพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี และตอบสนองนโยบายของภาครัฐที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม