ไฟตัดหมอกใช้อย่างไรถึงจะมีประโยชน์
เราคงเคยได้ยินเสียงบ่นของผู้ใช้รถในเรื่องการเปิดไฟตัดหมอกกันมาบ้าง โดยสาเหตุหลักๆ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องแสงไฟแยงตาผู้ขับขี่ที่ขับรถสวนเลนมา หรือสะท้อนกระจกหลังอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดความรำคาญต่อคนใช้รถบนท้องถนนและอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย เพื่อเป็นการใช้ไฟตัดหมอกที่ถูกต้องและมีประโยชน์เรามีทริคดีๆ มาฝาก
ตามประมวลกฎหมายจราจรทางบก แก้ไขปี พ.ศ. 2536 ไฟตัดหมอกที่ติดตั้งในรถยนต์นั้น สามารถใช้งานได้ก็ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่ในสภาวะที่มีหมอก ควัน หรือฝุ่นละอองจนเป็นอุปสรรค อันอาจเกิดอันตรายในขณะขับรถและต้องไม่มีรถอยู่ด้านหน้า หรือสวนมาในระยะของแสงไฟ หรือในระยะ 150 เมตร โดยสามารถใช้หลอดไฟแสงขาวหรือแสงเหลือง ที่มีกำลังไฟไม่เกินดวงละ 55 วัตต์ เท่านั้น
ไฟตัดหมอกเป็นการพัฒนาจากสปอร์ตไลท์ขนาดใหญ่ในอดีต แต่มีการปรับย่อขนาดให้มีความเล็กลง แม้ว่าขนาดเล็กของมันอาจจะดูไม่น่าจะช่วยในเรื่องการส่องสว่างอะไรมากมายนัก แต่ในตัวโคมไส้หลอดที่ใช้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นหลอดไส้แบบ H3 ซึ่งเป็นไส้แบบเดียวที่ใช้กับสปอร์ตไลท์ทั่วไป ซึ่งแม้จะมีกำลังไฟ (วัตต์) น้อยกว่า แต่ประสิทธิภาพความสว่างก็ไม่ได้แตกต่างกัน และเมื่อเปิดใช้งานก็จะเพิ่มทัศนวิสัยได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
วิธีการใช้ไฟตัดหมอก
- ฝนตกปลอยๆ หรือตกหนัก ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
- เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนเพราะที่สูงๆ นั้น หมอกจะมีมากกว่าปกติ
- ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
- ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร
โดยบทของโทษจากการกระทำผิดในการใช้ไฟตัดหมอก หากตรวจพบ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการจับปรับเป็นเงิน 500 บาท
เรื่อง: กองบรรณาธิการ
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th